กลายเป็นเรื่องที่ทำให้รู้สึกประหลาดใจไม่น้อยหลังจากที่ “กระทิง” นายเรืองโรจน์ พูนผล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายผลิตภัณฑ์ ดีแทค ผู้ดูแลโครงการ “Dtac Accelerate" ลาออกจากตำแหน่งทั้งที่เพิ่งทำงานได้เพียง 10 เดือน โดยว่าที่ CEO คนใหม่ของเอ็นโซโก้ได้เล่าถึงการตัดสินใจครั้งนี้
กระทิงกล่าวว่า ไม่ได้ออกกะทันหัน เพราะในเรื่องนี้ได้มีการคุยกับผู้บังคับบัญชาไว้ประมาณ 1 เดือนครึ่งแล้ว โดยการออกไปสู่บริษัทใหม่อย่างเอ็นโซโก้ในครั้งนี้ไม่ได้มีความขัดแย้งใดๆ ภายใน แต่เป็นการมองเห็นโอกาสที่จะลองเริ่มต้นทำสิ่งใหม่ๆ เหมาะกับตัวเองมากกว่าการทำงานในวงการเทเลคอม ประกอบกับทางเอ็นโซโก้กำลังจะขาดหัวเรือใหญ่ที่จะดูแลธุรกิจในภาพรวม จึงเข้ามารับตำแหน่งในครั้งนี้
“การออกจากดีแทคในครั้งนี้ถือเป็นการออกมาจากวงการเทเลคอม ที่เดิมคิดว่าอยากจะลองเข้ามาสัมผัสดูว่าเหมาะสมกับตัวเองหรือเปล่า แต่ก็พบว่าธุรกิจในด้านนี้ไม่ใช่สิ่งที่ตนเองถนัด เนื่องจากกว่าจะเห็นผลที่จะได้รับค่อนข้างช้า ต่างจากการทำธุรกิจบนอินเทอร์เน็ตประเภท Social Commerce ที่มีความท้าทายและเห็นผลได้รวดเร็วว่าสิ่งที่ทำนั้นจะประสบความสำเร็จหรือไม่ นับเป็นความท้าทายหนึ่งของชีวิตการทำงานที่จะก้าวออกมาดูแลทั้งหมดด้วยตัวเอง”
กระทิงกล่าวว่า เดิมการอยู่ดีแทคนั้นในสายงานที่ทำอยู่นับว่ามีความท้าทายพอสมควร และถือเป็นประสบการณ์ที่ดี แต่คิดว่าหลังจากทำมาได้ระยะหนึ่งก็เริ่มเข้าที่เข้าทางและอยู่ตัว จึงคิดว่าน่าจะแสวงหาแนวทางใหม่ๆ ให้แก่ชีวิต ตลอดจนมองเห็นว่าวงการเทเลคอมในระยะนี้ยังไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นมากไปกว่าการวางเครือข่ายระบบ 3G ในขณะที่ธุรกิจของเอ็นโซโก้จะมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เพื่อเป็นการดึงดูดให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการ
ประกอบกับการเข้ามารับหน้าที่ตรงนี้ตนเองจะต้องเป็นผู้ดูแลองค์กรโดยภาพรวมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ การพัฒนาองค์กร การขาย ซึ่งการเป็น CEO จำเป็นต้องรับหน้าที่เหล่านี้ทั้งหมด ถือว่าเป็นความท้าทายและได้ทำในสิ่งที่ใฝ่ฝันไว้ตั้งแต่เด็กว่าต้องการจะขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดขององค์กรใดองค์กรหนึ่ง
“ได้รับการทาบทามจากเอ็นโซโก้มาระยะหนึ่งแล้ว แต่ที่ตัดสินใจเพราะคิดว่าเราได้คำตอบจากการทำงานที่ดีแทคแล้วว่าที่จริงแล้วเราต้องการทำอะไร เอ็นโซโก้เป็นเหมือนบริษัทสตาร์ทอัพที่มีความท้าทายอยู่ตลอดเวลา ต้องมีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ช่องทางใหม่ๆ รวมไปถึงตลาดใหม่ๆ ที่จะต้องแอ็กทีฟอยู่ตลอดเวลา ซึ่งถือเป็นบททดสอบของตัวเองด้วยว่าจะทำได้ดีหรือไม่แค่ไหน ต่างจากองค์กรขนาดใหญ่อย่างดีแทคที่มีการวางระบบต่างๆ มาเป็นอย่างดี การขาดบุคลากรสำคัญไปสักสัปดาห์หรือสองสัปดาห์งานก็จะรันต่อไปได้ไม่สะดุด”
นอกจากนี้การตัดสินใจยังเป็นไปตามคำแนะนำของ ธนา เธียรอัจริยะ ที่บอกกับ กระทิงว่า การจะทดสอบความสามารถของตนเองนั้นต้องให้ลองทำงานที่เกินความสามารถดูว่าทำได้หรือเปล่า ต้องลองออกไปรบ เพราะนักรบที่จะเก่งได้ต้องมีบาดแผลบ้าง แพ้บ้าง เรียนรู้จากความลำบาก จะทำให้ชีวิตมีรสชาติมากขึ้น เปรียบเสมือนกับการเข้ามาทำงานในดีแทคก่อนหน้านี้เช่นกันที่ต้องการความท้าทายใหม่ๆ และดูว่าตนเองจะเหมาะสมกับวงการนี้หรือไม่ สุดท้ายเมื่อรู้ว่าไม่เหมาะก็ต้องหาสิ่งที่เหมาะกับตนเองต่อไป
สำหรับโครงการ “Dtac Accelerate” นั้น หลังจากที่ลาออกและเข้าไปทำงานที่ใหม่ในวันที่ 15 กรกฎาคมนี้จะยังคงทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้กับโครงการเหมือนเดิมจนกระทั่งส่งทีมที่ชนะเข้าไปหาประสบการณ์ในซิลิคอนวัลเลย์ก็จะถือว่าสิ้นสุดโครงการ ส่วนในปีถัดไปของโครงการนี้จะเป็นเพียงการส่งเสริมให้ทีมที่ชนะสามารถทำงานร่วมกับดีแทคในฐานะบิสิเนสพาร์ตเนอร์ ที่จะเปลี่ยนให้แอปพลิเคชันเหล่านั้นเป็นธุรกิจที่สามารถทำได้จริง
“เอ็นโซโก้เป็นเสมือนกับสตาร์ทอัพขนาดใหญ่ และการเข้าไปในครั้งนี้จะทำให้ธุรกิจนี้มีการรันตัวเองอยู่ตลอดเวลา เหมือนการสตาร์ทสิ่งใหม่ๆ ที่คิดว่าเหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของตนเองมากกว่า นอกจากนี้ ปัจจุบัน Social Commerce กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันคนไทยไปแล้ว และตลาด e-Commerce สำหรับตลาดในเมืองไทยยังมีที่ว่างให้เราสามารถเข้าไปแชร์ได้อีกเยอะ จึงเล็งเห็นว่าเป็นโอกาสที่ท้าทายมากกว่า”