กลุ่มสามารถมั่นใจปีนี้ฟันรายได้รวม 30,000 ล้านบาท เติบโต 50% ขีดเส้น ก.พ.นี้เซ็น MVNO ฉบับใหม่ คาดลูกค้าทะลุ 1.2 ล้านเลขหมาย พร้อมดีล 3G เฟส 2 ต่อบนเป้าหมายเป็นผู้ติดตั้งสถานีฐานให้ได้ 50% ของโครงการทั้งหมด แย้มเตรียมควักกระเป๋า 1,000 ล้านบาทหวังเป็นผู้ให้บริการด้านโครงข่ายทีวีดิจิตอล
นายวัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 2556 กลุ่มสามารถตั้งเป้าหมายรายได้รวม 30,000 ล้านบาท คิดเป็นรายได้จากสาย ICT Solutions 15,000 ล้านบาท Mobile Multi-media 11,000 ล้านบาท สายธุรกิจ Related Businesses 2,400 ล้านบาท และสายธุรกิจ Utility Services อีก 1,655 ล้านบาท
สาย ICT Solutions นำโดย บริษัท สามารถเทลคอม จำกัด (มหาชน) ตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 15,000 ล้านบาท คาดว่ากำไรปี 56 จะเพิ่มขึ้น 70% เนื่องจากปัจจุบันสามารถฯ มีงานสะสมในมือ (Backlog) มูลค่ารวมกว่า 10,000 ล้านบาท โดยในปีนี้ตั้งเป้าลุยงานใหญ่ที่รอการประมูลรวมมูลค่ากว่า 40,000 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วย โครงการ 3G เฟส 2 ของทีโอที รวมถึงโครงการต่างๆ ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค, กรมสรรพากร, กรุงเทพมหานคร และอื่นๆ
สายธุรกิจ Mobile Multi-media นำโดย บริษัท สามารถไอ-โมบาย จำกัด (มหาชน) ตั้งเป้ารายได้ที่ 11,000 ล้านบาท โดยคาดว่าจะมีกำไรเพิ่มขึ้นถึง 200% โดยปี 56 จะเป็นปีแห่งการเติบโตแบบก้าวกระโดดของธุรกิจโมบายล์ และคอนเทนต์ อันเนื่องมาจากการขยายเครือข่าย 3G อย่างจริงจัง และรวดเร็วของผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทุกค่ายที่อยู่ในตลาด ส่งผลให้เกิดโอกาสทางการตลาดอย่างมหาศาล
***เซ็น MVNO ฉบับใหม่ ก.พ.นี้
นายวัฒน์ชัยกล่าวว่า ภายในเดือน ก.พ. 56 นี้ กลุ่มสามารถจะลงนามในสัญญาฉบับใหม่กับบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ในการเป็น MVNO ภายใต้ i-mobile 3GX ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าทีโอทีจะมีความจุของโครงข่ายทั้งหมด 7.2 ล้านเลขหมาย ซึ่งสามารถจะลงนามในสัญญาระยะยาว 12 ปี โดยจะขอทำตลาดรวม 2.8 ล้านเลขหมาย หรือคิดเป็น 40% ของโครงข่ายทั้งหมด พร้อมทั้งคาดหวังจะเพิ่มลูกค้าอีก 1 ล้านราย จากเดิมที่มี 2-3 แสนรายในขณะนี้
ช่วงปลายปี 55 ที่ผ่านมา สามารถระบุว่ามีการติดตั้งสถานีฐาน 3G เฟส 1 ให้กับบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ไปแล้ว 3,800 สถานีฐาน และในเดือน ก.พ. 56 จะมีการติดตั้งเป็น 4,000 สถานีฐาน โดยคาดว่าจะครบ 5,320 สถานีฐานในเฟส 1 ภายในเดือน พ.ค.นี้ จุดนี้บริษัทจะเดินหน้าติดตั้ง 3G ทีโอทีในเฟส 2 อีก 15,000 สถานีฐาน ซึ่งมีมูลค่าทั้งโครงการ 30,000 ล้านบาท โดยสามารถตั้งเป้าเป็นผู้ติดตั้งสถานีฐานให้ได้ 50% ของโครงการทั้งหมด ซึ่งจะมีการประมูลช่วงเดือน เม.ย.นี้ และจะเริ่มดำเนินการติดตั้งได้ภายในเดือน มิ.ย.นี้
“ในวันที่ 24 ก.พ. ทีโอทีจะเปิดให้บริการ 3G อีกครั้งหนึ่ง โดยสามารถอยู่ระหว่างร่วมกับทีโอทีในการทดลองเปิดให้บริการ 4G ด้วยเทคโนโลยี LTE บนคลื่นความถี่ 2.3GHz ซึ่งบริษัทมีแผนจะติดตั้งสถานีฐาน 4G จำนวน 200 แห่งในกรุงเทพฯ”
อย่างไรก็ดี บริษัทตั้งเป้ายอดจำหน่ายโทรศัพท์มือถือในปี 56 ไว้จำนวน 3.2 ล้านเครื่อง คิดเป็นสมาร์ทโฟน 2.2 ล้านเครื่อง หรือ 70% ของจำนวนเครื่องทั้งหมด ซึ่งล่าสุด สามารถไอ-โมบายประกาศเปิดตัว iQ6 ซึ่งคาดหวังว่าจะเป็นตัวไฮไลต์ในไตรมาสที่ 1 เนื่องจากมีความโดดเด่นด้วยหน้าจอไอพีเอส ภาพคมชัดระดับ HD และกันรอยขีดข่วน ในราคาสุดคุ้มตามสไตล์ไอ-โมบาย
“ปัจจุบันมูลค่าตลาดรวมเครื่องลูกข่ายมีประมาณ 40,000-50,000 ล้านบาท สมาร์ทโฟนนั้นกินแชร์อยู่ 45% ของมูลค่ารวม”
ที่ผ่านมาธุรกิจ MVNO ภายใต้ i-mobile 3GX มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีขึ้น ด้วยคุณภาพสัญญาณที่พัฒนาขึ้นและการอัดฉีดโปรโมชัน คาดว่าจะมีผู้ใช้บริการเพิ่มเป็น 1.2 ล้านรายในสิ้นปี 56 สำหรับแผนงานเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้แก่กลุ่มโมบายล์-มัลติมีเดียในระยะยาว สามารถได้กำหนดเป้าหมายไว้ว่าภายใน 3 ปีผลิตภัณฑ์ และบริการของกลุ่มโมบายล์-มัลติมีเดีย เช่น โทรศัพท์มือถือ บริการคอนเทนต์ และบริการ MVNO จะต้องเป็นส่วนหนึ่งในการใช้ชีวิตแบบ Mobility ของผู้บริโภคยุคใหม่ โดยจะมุ่งเน้นที่กลุ่ม Mass ซึ่งมีฐานตลาดขนาดใหญ่
ขณะที่สายธุรกิจ Related Businesses ตั้งเป้ารายได้ 2,400 ล้านบาท จากบริษัท วันทูวันคอนแทคส์ จำกัด ผู้ให้บริการ Contact Center มาตรฐานโลก โดยคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ภายในไตรมาส 3 ปีนี้ และเตรียมขยายธุรกิจสู่ต่างประเทศปลายไตรมาสที่ 2 ทั้งกัมพูชา พม่า และลาว ต่อไป
ส่วนด้านบริษัท สามารถวิศวกรรม จำกัด ซึ่งปัจจุบันได้ขยายไลน์การผลิตจากเสาอากาศและจานดาวเทียมไปสู่อุปกรณ์รับ-ส่งสัญญาณอื่นๆ เช่น กล่องรับสัญญาณดิจิตอลทีวี สามารถมั่นใจว่าจะเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่มีการเติบโตอย่างชัดเจน เช่นเดียวกับบริษัท วิชั่น แอนด์ ซิเคียวริตี้ ซิสเต็ม จำกัด ซึ่งปัจจุบันมีงานในมือมูลค่าประมาณ 500 ล้านบาท และมีงานที่จะเข้าประมูลในปีนี้มูลค่าราว 1,200 ล้านบาท
***ควักพันล้านบาทลุยทีวีดิจิตอล
นายวัฒน์ชัยกล่าวว่า ในปีนี้กลุ่มสามารถยังเห็นถึงโอกาสการเติบโตทางธุรกิจ จากการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีจากทีวีแอนะล็อกสู่ทีวีดิจิตอล จุดนี้ทำให้กลุ่มสามารถตั้งเป้าขอใบอนุญาตเป็นผู้ให้บริการด้านโครงข่ายทีวีดิจิตอลทันทีที่สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เปิดให้ยื่นแบบคำขอเพื่อเป็นผู้ให้บริการด้านโครงข่ายของทีวีดิจิตอล โดยตั้งเป้างบการลงทุนในส่วนดังกล่าวไว้ที่ 800-1,000 ล้านบาท คาดจะถึงจุดคุ้มทุนได้ใน 2-3 ปีเมื่อมีช่องทีวีดิจิตอลเปิดให้บริการครบทั้ง 48 ช่อง
อย่างไรก็ตาม กลุ่มสามารถยังได้ตั้งเป้าจะเป็นผู้จัดจำหน่ายกล่องรับสัญญาณทีวีดิจิตอล (เซตท็อปบอกซ์) เพื่อให้บริการในการรับชมทีวีดิจิตอล ซึ่งกลุ่มสามารถได้เตรียมจำหน่ายไว้ 2 รุ่นด้วยกัน ประกอบด้วย กล่องรับสัญญาณทีวีดิจิตอลแบบปกติในราคาราว 1,000 บาท และกล่องรับสัญญาณทีวีดิจิตอลสำหรับสมาร์ททีวีที่สามารถรับสัญญาณอินเทอร์เน็ตไร้สาย (Wi-Fi) ได้ ราคาราว 2,000 บาท โดยกล่องทั้ง 2 รุ่น กลุ่มสามารถมีความพร้อมในการจัดจำหน่ายทันทีที่มีการเริ่มใช้งานทีวีดิจิตอล รวมทั้งเตรียมนำเข้าราว 1 ล้านกล่อง เมื่อ กสทช.อนุมัติการออกใบอนุญาตให้นำเข้ากล่องรับสัญญาณ ทั้งนี้ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับทีวีดิจิตอลกลุ่มสามารถจะดำเนินการในนามบริษัทลูก “สามารถดิจิตอลทีวี”
“ในปีนี้จะเป็นปีทองแห่งการเปลี่ยนถ่ายเทคโนโลยีในตัวทีวีดิจิตอล ดังนั้นเราจึงจะเข้าไปขอใบอนุญาตประเภทผู้ให้บริการโครงข่ายทีวีดิจิตอลกับทางคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ กิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เพื่อให้บริการลูกค้าที่ต้องการทำธุรกิจบนช่องทีวีดิจิตอลต่อไป”
นอกจากนี้ ในสายธุรกิจ Utility Services สามารถตั้งเป้ารายได้ไว้ 1,655 ล้านบาท โดยนอกจากจะมีรายได้ที่สม่ำเสมอจากบริษัท แคมโบเดีย แอร์ ทราฟฟิค เซอร์วิสเซส จำกัด (CATS) และบริษัท Kampot Power Plant จำกัด ผู้ผลิตไฟฟ้าป้อนแก่โรงงานปูนซิเมนต์ไทยที่ประเทศกัมพูชาแล้ว ยังมีความคืบหน้าในการขยายธุรกิจด้านสาธารณูปโภคและพลังงานอย่างต่อเนื่อง เช่น การควบรวมกิจการบริษัท เทด้า จำกัด ผู้เชี่ยวชาญทางด้านงานก่อสร้างสถานีไฟฟ้าและระบบสายส่งไฟฟ้า ซึ่งต่อไปจะเป็นหัวหอกสำคัญในการขยายธุรกิจด้านพลังงาน ทั้งนี้ มีแผนในการเข้าร่วมประมูลโครงการมูลค่าไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาทในระยะเวลา 3 ปี
“เรามั่นใจด้วยการตั้งเป้ารายได้ในปี 56 แบบก้าวกระโดดถึง 30,000 ล้านบาท และในแผนงานของทุกธุรกิจในเครือก็ยังคงมุ่งเน้นการเพิ่มรายได้ประจำและการเติบโตแบบยั่งยืน โดยตั้งเป้าหมายว่าในอีก 3 ปีข้างหน้ากลุ่มสามารถจะต้องมีรายได้ประจำไม่ต่ำกว่า 15,000 ล้านบาท”
นายวัฒน์ชัยกล่าวอีกว่า ในปี 2555 ที่ผ่านมากลุ่มสามารถมีอัตราการเติบโตของกำไรที่เพิ่มขึ้นทะลุ 1,000 ล้านบาท และการเติบโตของรายได้ประจำ ซึ่งในปี 55 บริษัทมีรายได้ประจำถึง 5,400 ล้านบาท คิดเป็น 30% ของรายได้รวม ยิ่งไปกว่านั้น ธุรกิจโมบายล์ก็ส่อแววฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัดนับจากช่วงปลายปีที่ผ่านมา โดยยอดขายสมาร์ทโฟนแบรนด์ไอ-โมบายนั้นทะลุหลัก 400,000 เครื่องไปแล้วช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 55
ส่วนธุรกิจด้านไอซีที แม้บางโครงการจะถูกเลื่อนหรือมีความล่าช้า แต่ก็ยังสามารถกวาดงานเข้ามาในมือรวมมูลค่าสัญญากว่า 7,000 ล้านบาทในปี 55
Company Related Link :
Samart