เปิดปมโครงการจัดเก็บข้อมูล Bio Data การผลิตใบอนุญาตทำงานแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองกระทรวงแรงงานฯ 500 ล้านบาท ส่อพิรุธหลายประเด็น ผู้ชนะเสนอราคาต่ำกว่างบแค่ 2.45 ล้านบาท หากปล่อยเซ็นสัญญา คาดเงินสะพัดกว่าร้อยล้านบาทแน่นอน
แหล่งข่าวในวงการไอซีที กล่าวถึงความไม่ชอบมาพากล โครงการประกวดราคาจ้างบันทึกข้อมูล จัดเก็บข้อมูล Bio Data การผลิตใบอนุญาตทำงานแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองสัญชาติ พม่า ลาว และกัมพูชา และการจัดเก็บเอกสารในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ของกระทรวงแรงงานฯว่า มีข้อน่าสงสัยหลายประการในการประกวดราคา โดยเฉพาะการที่ไม่ใช้วิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (อี-ออกชั่น) และเหลือผู้ยื่นซองประกวดราคาเพียง 2 ราย โดยราคาที่ผู้ชนะประกวดราคาเสนอ 497.55 ล้านบาท ต่ำกว่าวงเงินงบประมาณที่ตั้งไว้ 500 ล้านบาทเพียง 2.45 ล้านบาท ชนะคู่แข่งอีกรายที่เสนอราคา 498 ล้านบาท ทำให้เกิดคำถามว่าเป็นเพียงคู่เทียบราคากันแค่นั้นเพื่อให้สามารถเสนอราคาได้เกือบเต็มงบหรือไม่
โครงการดังกล่าวคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 26 เม.ย. 2554 ให้มีการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองสัญชาติ พม่า ลาว กัมพูชา เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานระดับล่าง และให้แรงงานที่ลักลอบทำงานอยู่ซึ่งคาดว่ามีประมาณ 1.5-2 ล้านคน เข้าสู่ระบบการจ้างงานที่ถูกต้อง หลังจากนั้นวันที่ 14 มิ.ย. 2554 กรมการจัดหางานได้ประกาศประกวดราคางานดังกล่าว โดยกำหนดงบประมาณไว้ 500 ล้านบาท ที่จำนวน 1 ล้านคน เท่ากับค่าจ้างในงานดังกล่าวคนละ 500 บาท
หลังจากขายเอกสารประกวดราคาระหว่างวันที่ 23 มิ.ย.จนถึงวันที่ 4 ก.ค. ปรากฎว่ามีบริษัทเข้าไปซื้อเอกสารจำนวน 15 บริษัท โดยในเอกสารกำหนดให้ยื่นซองเอกสารประกวดราคาวันที่ 13 ก.ค.และกำหนดเปิดซองใบเสนอราคา 20 ก.ค. 2554
ต่อมาในวันที่ 8 ก.ค. กรมการจัดหางานได้มีหนังสือชี้แจงรายละเอียดเพิ่มเติมของร่างขอบเขตของงาน โดยขอให้ผู้ประสงค์จะเสนอราคายื่นเอกสารและชี้แจงรายละเอียดเพิ่มเติม โดยให้แนบพร้อมซองข้อเสนอทางด้านเทคนิค ดังนี้ 1. ให้ระบุยี่ห้อ รุ่น ของเครื่องสแกนเอกสาร ที่ใช้ในการสแกนเอกสารตามร่างขอบเขตของงาน 2. ให้แนบตัวอย่างของกระดาษที่ใช้พิมพ์และรายละเอียดที่เกี่ยวข้อง ตามร่างขอบเขตของงานและ 3. สำหรับเกณฑ์การให้คะแนนการสาธิตและการทดสอบระบบการจัดเก็บ Bio Data จะพิจารณาจากเอกสารเบื้องต้น
หลังจากซื้อทีโออาร์มาแล้ว บริษัทที่ซื้อซองได้รับหนังสือแจ้งให้ไปสาธิตและทำการทดสอบระบบการจัดเก็บ Bio Data ในวันที่ 14 ก.ค. 2554 ตั้งแต่เวลา 09.30 น ปรากฏว่าเมื่อถึงวันที่ 13 ก.ค.ซึ่งเป็นวันยื่นซอง มีบริษัทเข้าร่วมยื่นซองจำนวน 3 ราย ประกอบด้วย บริษัท จันวาณิชย์ จำกัด บริษัท MFEC จำกัด (มหาชน) และบริษัท วีสมาร์ท จำกัด โดยในวันที่ 14 ก.ค. ทั้ง 3 บริษัท ได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าทำการสาธิตระบบตามที่ระบุในทีโออาร์ โดย บริษัท จันวาณิชย์ ได้จัดส่งเจ้าหน้าที่กว่า 50 คน เพื่อติดตั้งระบบและทำการสาธิต บริษัท MFEC ได้จัดส่งเจ้าหน้าที่จำนวน 6 คน ส่วนบริษัท วีสมาร์ท ได้จัดส่งเจ้าหน้าที่กว่า 20 คน เพื่อติดตั้งระบบและทำการสาธิต
ขั้นตอนการสาธิตนั้น กรมฯ ได้ให้แต่ละบริษัทติดตั้งระบบในช่วงเช้าและให้แต่ละบริษัททำการสาธิตตามลำดับครั้งละหนึ่งบริษัท โดยเรียงลำดับจากการยื่นซอง โดยจันวาณิชย์ ได้สาธิตเป็นบริษัทแรก ตามด้วย MFEC และ วีสมาร์ท หลังจากการสาธิตแล้ว กรมการจัดหางานจะประกาศผลผู้ผ่านข้อเสนอ ในวันที่ 19 ก.ค.ซึ่งข้อเสนอส่วนที่ 1 คุณสมบัติผู้เสนอราคาผ่านเพียง 2 รายคือ จันวาณิชย์และ MFEC แต่การทดสอบทางด้านเทคนิคผ่านทั้ง 3 ราย ทำให้มีเพียงจันวาณิชย์ และ MFEC จำกัด มีสิทธิ์เปิดซองเสนอราคา
หลังจากนั้นในวันที่ 20 ก.ค. ได้มีการเปิดซองราคา ปรากฏว่าบริษัทที่ชนะการประกวดราคาคือ จันวาณิชย์ โดยยื่นเสนอราคาที่ 497.55 ล้านบาท ต่ำกว่างบประมาณเพียง 2.45 ล้านบาท
แหล่งข่าวกล่าวว่าในการประมูลครั้งนี้มีส่อพิรุธหลายประเด็นคือโครงการขนาดใหญ่งบประมาณ 500 ล้านบาท แต่กลับไม่ใช้วิธีอี-ออกชั่น , ระยะเวลาขายซองและยื่นซองประกวดราคากระชั้นชิดกันมาก, การกำหนดให้ติดตั้งและสาธิตระบบหลังยื่นซองเพียง 1 วัน อาจมองได้ว่าหากไม่รู้ล่วงหน้าหรือไม่มีโนว์ฮาว ก็จะไม่สามารถเตรียมตัวได้ทัน, ในวันที่ทดสอบระบบ ไม่ได้มีเกณฑ์การให้คะแนนใดๆ เพื่อประเมินความสามารถของผู้เสนอราคา เพราะบางบริษัทอุปกรณ์ไม่ดี ยังสามารถผ่านการพิจารณาได้
แต่ประเด็นที่สำคัญอีกอย่างในการกำหนดคุณสมบัติผู้เสนอราคาที่ระบุว่า
'ผู้เสนอราคาต้องมีผลงานในการจำหน่ายและติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์หรือมีผลงานในการออกแบบและพัฒนาระบบ โดยมีมูลค่าในด้านใดด้านหนึ่ง หรือรวมกันไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาท (สิบล้านบาทถ้วน) ต่อสัญญา และเป็นผลงานที่เป็นคู่สัญญาโดยตรงกับส่วนราชการ หน่วยงานตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารการปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานอื่นซึ่งมีกฎหมายบัญญัติให้มีฐานะเป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานเอกชนที่กรมการจัดหางานเชื่อถือ โดยผู้เสนอราคาจะต้องแสดงเป็นหนังสือรับรองผลงาน หรือเอกสารสัญญาคู่ฉบับ ทั้งนี้ กรมการจัดหางานของสงวนสิทธิ์ที่จะตรวจสอบข้อเท็จจริงได้โดยตรง' นั้นไม่มีความเหมาะสมด้วยประการทั้งปวงกับงานขนาดใหญ่ระดับ 500 ล้านบาท
'เข้าใจว่ายังไม่ได้มีการเซ็นสัญญา เพราะมีความไม่ชอบมาพากลหลายประเด็นมาก คงต้องรอให้รมว.แรงงานฯ คนใหม่มาสะสาง เพราะในวงการพูดกันหนาหูว่าหากประมูลเกือบเต็มงบอย่างนี้ ต้องมีตกหล่นเกินกว่าร้อยล้านบาทแน่นอน'