แพคเน็ทตั้งเป้าโตในไทยเชื่อตลาดมีศักยภาพสูง พร้อมวางแผนขยายธุรกิจตอบสนองความต้องการใช้งานแบนด์วิดท์ระหว่างประเทศที่เพิ่มมากขึ้น พร้อมเตรียมงบลงทุนใน 3 ส่วนด้วยเม็ดเงินกว่า 1.6 หมื่นล้านบาท หวังใช้เป็นฐานการขยายธุรกิจในภูมิภาคเอเชีย
นายบิล บาร์นีย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แพคเน็ท ผู้ให้บริการโทรคมนาคมอิสระรายใหญ่ในภูมิภาคเอเชีย กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นส่วนหนึ่งในยุทธศาสตร์ของแพคเน็ทในการขยายตลาดไปทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียน ซึ่งแพคเน็ทยังคงมุ่งมั่นที่จะสร้างความเติบโตในประเทศไทย แม้สภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันจะค่อนข้างท้าทายก็ตามและในปีนี้บริษัทตั้งเป้าที่จะเติบโตทางธุรกิจด้วยตัวเลข 2 หลัก
“เรามั่นใจว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้อย่างแน่นอน ด้วยการลงทุนอย่างต่อเนื่องสำหรับการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ซึ่งรวมไปถึงการเพิ่มจำนวนพนักงาน และการขยายขอบเขตโครงข่ายการเชื่อมต่อของเรา เพื่อความพร้อมในการให้บริการโซลูชันต่างๆ แก่กลุ่มลูกค้าในประเทศไทย หลังได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมแบบที่ 1ประเภทขายต่อบริการมาเรียบร้อยแล้ว”
สำหรับแพคเน็ทได้รับใบอนุญาตประเภทที่ 1 เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งทำให้แพคเน็ทสามารถดำเนินธุรกิจให้บริการ IP Transit, IP VPN และ International Private Line (IPL) ในประเทศไทยได้ ซึ่งบริการเหล่านี้ผู้บริหารแพคเน็ทเชื่อว่าจะช่วยให้ผู้ใช้บริการที่เป็นองค์ธุรกิจทั่วประเทศไทย สามารถเชื่อมต่อสื่อสารกับพันธมิตรและสำนักงานทั่วโลกได้
จากการได้ใบอนุญาตดังกล่าวแพคเน็ทมีแผนที่จะลงทุนใน 3 ส่วนหลักในประเทศไทย คือ 3-5 ล้านเหรียญสหรัฐเป็นเรื่องโครงสร้างพื้นฐานทางอินเทอร์เน็ต 20-50 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นการลงทุนในเรื่องของดาต้า เซ็นเตอร์ 300-400 ล้านเหรียญสหรัฐ มีแผนที่จะลงทุนเกี่ยวกับเคเบิลใต้น้ำ ทั้งนี้ หากรวมงบการลงทุนตามยุทธศาสตร์ที่แพคเน็ทวางไว้เป็นเงินประมาณ 1.6 หมื่นล้านบาท
แผนการลงทุนของแพคเน็ทในครั้งนี้ เป็นไปตามกลยุทธ์การลงทุนในแต่ละประเทศ ส่วนเม็ดเงินที่จะลงเกี่ยวกับเคเบิลใต้น้ำซึ่งถือว่าสูงที่สุด ผู้บริหารแพคเน็ทกล่าวว่า ยังอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรที่จะร่วมลงทุน รวมถึงการขออนุญาตนำเข้าอุปกรณ์ต่างๆ
“ผู้ที่บริการเคเบิลใต้น้ำขณะนี้คาปาซิตี้ยังถือว่าน้อย แต่ของเราลงเป็นความเร็วและคาปาซิตีจะมากกว่า”
ปัจจุบันแพคเน็ทมีลูกค้าในไทยประมาณ 2 พันราย และจากแผนการลงทุนเชื่อว่าจะทำให้ผู้ใช้บริการพอใจในการใช้งาน และแพคเน็ทจะใช้ไทยเป็นฐานในการขยายธุรกิจในภูมิภาคอาเซียน และประเทศใกล้เคียง
ผู้บริหารแพคเน็ทกล่าวว่า จากสถิติของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่ชี้ให้เห็นถึงการหดตัวลง 7.1% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (จีดีพี) ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2552 ซึ่งนับเป็นไตรมาสที่มีอัตราการลดลงสูงสุดนับตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 แม้ว่าจะต้องเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจแต่ความต้องการใช้งานแบนด์วิดท์ในประเทศไทยยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง TeleGeography ได้มีการคาดการณ์ว่า ความต้องการใช้งานแบนด์วิดท์ระหว่างประเทศของไทยจะเติบโตขึ้นถึงเกือบ 10 เท่า จาก 43 Gbps ในปี 2551 เป็น 404 Gbps ในปี 2556
“เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการการใช้งานแบนด์วิธจำนวนมหาศาล แพคเน็ทมีแผนจะขยายโครงข่าย EAC-C2C เข้าสู่ประเทศไทย เพื่อสนับสนุนการใช้งานแบนด์วิดท์ระหว่างประเทศที่ไม่สามารถประมาณการได้นี้ผ่านโครงข่ายเคเบิลใต้น้ำของเรา”
นายริชาร์ด คาร์เดน กรรมการผู้จัดการ แพคเน็ท ภาคพื้นเอเชีย กล่าวว่า เชื่อว่าการสื่อสารโทรคมนาคมเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่จะช่วยให้องค์กรธุรกิจสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว หลังจากที่เศรษฐกิจกลับเข้าสู่สภาวะปกติ ทั้งนี้ เพื่อช่วยให้องค์กรธุรกิจในประเทศไทย ได้รับการตอบสนองต่อความต้องการใช้งานการสื่อสารโทรคมนาคมที่เพิ่มมากขึ้นแพคเน็ทพร้อมนำเสนอโซลูชันการสื่อสารผ่านโครงข่ายระหว่างประเทศและภายในประเทศ โดยการให้บริการจากแพคเน็ทเพียงหนึ่งเดียว
นอกจากนี้ แพคเน็ทยังมีบริการด้าน Managed Services เต็มรูปแบบ เช่น โซลูชันการจัดการระบบความปลอดภัยบนเครือข่าย ซึ่งมีเป้าหมายที่จะช่วยให้องค์กรธุรกิจใช้เวลาในการบริหารจัดการสิ่งที่เป็นธุรกิจหลักของตน และแพคเน็ทจะเข้าไปช่วยดูแลการบริหารจัดการเครือข่าย และการเชื่อมต่อให้ตรงตามความประสงค์ของผู้ใช้บริการโดยที่ผู้ใช้บริการไม่จำเป็นต้องลงทุนสร้างโครงข่ายเองด้วยงบประมาณจำนวนมาก
Company Related Links :
PACNET