เว็บไซต์หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ยังเกิดใหม่ไม่หยุด ไอซีทียังหาทางแก้ไม่ตรงจุด พบตัวเลขสะพัดกว่า 700 เว็บไซต์เอาผิดได้แค่ 40-50 คดี ฝากความหวัง รมว.ไอซีทีคนใหม่รับช่วงต่อ
ช่วงหลายปีที่ผ่านมาหัวใจของปวงชนชาวไทยถูกย่ำยี ด้วยข้อความหมิ่น จาบจ้วงเบื้องสูง จากเว็บไซต์ทั้งในและต่างประเทศนับแทบไม่ไหว แต่รัฐบาลยุคนายสมัคร สุนทรเวช มาจนถึงนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์กลับไม่สามารถแก้ไขให้ทุเลาเบาบางลงได้ และกลับพบข้อความ เว็บไซต์จาบจ้วงเพิ่มขึ้นไม่หยุดหย่อน
หลายต่อหลายครั้งเกิดการตื่นตัวเมื่อพบข้อมูลจาบจ้วง มีการทวงถามหาผู้แก้ไข แต่กลับเกิดข้อถกเถียงหาผู้รับผิดชอบดูแล ระหว่างกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที) หรือกระทรวงวัฒนธรรม และสุดท้ายถูกตีความว่าเรื่องนี้ควรจะอยู่ภายใต้การดูแลของไอซีที
ที่ผ่านมากระทรวงไอซีทีระบุว่าพบตัวเลขเว็บไซต์ไม่เหมาะสมกว่า 1,000 เว็บไซต์ และเป็นเว็บไซต์ที่มีข้อความจาบจ้วงเบื้องสูงกว่า 700 คดี มีคดีที่ตัดสินไปแล้วรวม 40-50 เว็บไซต์แต่ข้อมูลจากคณะกรรมาธิการทหารสภาผู้แทนราษฎร ระบุว่าในรอบ 5 ปี(ตั้งแต่ปี 2547-2551) ได้ดำเนินการกับเว็บไซต์จาบจ้วงไปแล้ว 168 คดี
ในสมัยนายสิทธิชัย โภไคยอุดม เป็นรมว.ไอซีที ได้มีคำสั่งปิดเว็บไซต์ที่มีข้อความจวบจ้วงวันละหลายเว็บไซต์ โดยอาศัยอำนาจตามประกาศของ คปค. ฉบับที่ 5 เป็นที่ฮือฮามากที่สุดเห็นจะเป็นการสั่งปิดห้องราชดำเนิน ในเว็บไซต์ชื่อดังพันทิป แต่ไอซีทีกลับประสบปัญหาใหญ่ สามารถจัดการปิดได้เพียงข้อความและเว็บไซต์ภายในประเทศ และดูเหมือนแม้จะถูกปิด แต่เว็บไซต์เหล่านั้นก็สามารถเปิดใหม่ในชั่วเวลาข้ามคืนด้วยการปรับเปลี่ยนชื่อเว็บไซต์เพียงตัวสองตัว ประกอบกับการปิดกั้นไม่สามารถดำเนินการได้ทันทีเพราะติดขัดข้อกฎหมาย ส่วนข้อมูลจวบจ้วงบนเว็บไซต์ต่างประเทศ ไอซีทียังไม่สามารถหาทางแก้ไข เพราะการปิดกั้นเว็บไซต์ต่างประเทศถือเป็นการละเมิดสิทธิการเผยแพร่และเข้าถึงข้อมูล
เมื่อถึงยุคนายมั่น พัธโนทัย เป็นรมว.ไอซีที ก็มีการเผยแพร่ข้อความจวบจ้วง จนเป็นที่ฮือฮาหลายครั้ง ทั้งจากเว็บไซต์ในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะบนเว็บไซต์ชื่อดังอย่างกูเกิล และยูทูบ ซึ่งรมว.ไอซีที เองยอมรับหลายหนว่าการปิดกั้นไม่สามารถทำได้โดยง่าย ด้วยเหตุผลเดิมว่าเป็นการละเมิดสิทธิสื่อและการปิดกั้นทำได้แต่ในประเทศ ส่วนในต่างประเทศนั้นไม่สามารถปิดได้ ทำได้เพียงการล็อกไม่ให้คนไทยสามารถเข้าดูข้อความจาบจ้วงเท่านั้น
ต่อมานายมั่นได้พยายามเจรจาขอความร่วมมือไปยังผู้บริหารระดับสูงของ กูเกิลโดยอาศัยความสัมพันธ์ส่วนตัวหลายครั้งให้ช่วยตรวจสอบข้อมูลไม่ให้อนุญาตนำข้อมูลจาบจ้วงมาโพสต์บนกูเกิล เพราะข้อความเหล่านั้นมีผลกระทบกับจิตใจของคนไทย ต่อมาในการจัดงานประชุมITU Telecom Asia 2008 ได้มีความพยายามขอความช่วยเหลือจากรัฐมนตรีสื่อสารของประเทศสหรัฐอเมริการช่วยเจรจาขอความร่วมมือกับกูเกิล และ ยูทูบกลั่นกรองข้อมูลหมิ่นเบื้องสูง แต่ก็ยังไม่สามารถแก้ไขได้
จากนั้นนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทนนายสมัคร สุนทรเวช ดูเหมือนจะมีความพยายามจัดการเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด ภายหลังนายสมชายให้นโยบายไอซีทีหาทางแก้ไขโดยด่วนและเปิดทางให้ของบเพิ่มเติมโดยให้เหตุผลว่าการปิดกั้นจะต้องมีการลงทุนอุปกรณ์เพิ่มเติม ราว 500 ล้านบาท และไอซีทีได้เรียกผู้บริหาร 3 เว็บไซต์ไทยซึ่งพบเห็นข้อความหมิ่น ได้แก่ พันทิป ฟ้าเดียวกัน ประชาไทย เข้าพบเพื่อขอความร่วมมือ ไม่ให้มีการนำเสนอข้อความไม่เหมาะสมอีก หากไม่ปฏิบัติตามก็จะดำเนินการปิดกั้นทันที
หลังจากนั้นในวันที่ 5 พ.ย. 51 ไอซีทีได้ เรียกประชุมหารือกับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ไอเอสพี) เพื่อหามาตรการดำเนินการเว็บไซต์หมิ่น พร้อมคลอดมาตรการ 5 ข้อ ได้แก่ 1.ให้ไอเอสพี ปิดกั้นเว็บไซต์ที่เผยแพร่เนื้อหาหมิ่นทันทีที่พบเห็น 2.ให้ไอเอสพีสืบค้นหาตัวผู้กระทำความผิดทุกครั้งก่อนการปิดกั้นเว็บไซต์ 3.ผู้กระทำความผิดจะถูกดำเนินคดี พร้อมขึ้นบัญชีและนำไปประกาศเผยแพร่บนเว็บไซต์ต่างๆ ต่อไป 4.หากไอเอสพีรายใดไม่ปฎิบัติตาม ไอซีทีจะทำหนังสือเตือนเมื่อครบ 3 ครั้งจะแจ้งให้คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) เพิกถอนใบอนุญาตทันที และ 5.ไอซีทีจะออกประกาศกฏกระทรวง เพื่อสร้างความมั่นใจ และคุ้มครองไอเอสพีไม่ให้ถูกผู้ใช้บริการฟ้องร้องดำเนินคดีจากเจ้าของเว็บไซต์
ดูเหมือนการดำเนินการของกระทรวงไอซีทีที่ผ่านมาจะสามารถสกัดกั้นได้เพียงเว็บไซต์ภายในประเทศเท่านั้น แม้เว็บไซต์เก่าๆจะถูกปิดกั้นไปแล้วแต่ก็ยังมีเว็บไซต์ใหม่เปิดขึ้นต่อเนื่อง ส่วนเว็บไซต์ต่างประเทศยังหาทางออกอื่นไม่ได้นอกจากการอ้อนวอนขอความร่วมมือ เสมือนว่าไอซีทีเกาไม่ถูกที่คัน คงต้องฝากความหวังกับร.ต.หญิงระนองรักษ์ สุวรรณฉวี รมว.ไอซีทีหญิงคนแรกเข้ามาแก้ไขปัญหาต่อไป
รวมทั้งรมว.ไอซีทีคงต้องขันนอตหน่วยงานในสังกัดกระทรวงไอซีทีให้เอาจริงในการแก้ไขปัญหามากขึ้น หลังพบว่าหน่วยงานออกอาการเฉื่อยลมโชย เพราะแม้กระทั่งงบลับที่กองทัพจัดสรรให้มาหาข่าวเว็บไซต์หมิ่นก็เจอมือดีอย่างนายวรพัฒน์ ทิวถนอม รองปลัดกระทรวงไอซีทีนำไปใช้ส่วนตัว จนถึงกับต้องมีการสอบวินัยขั้นร้ายแรง หลังพบว่ามีมูลความจริง ในขณะที่กำลังสอบวินัยนายวรพัฒน์ก็ควรแสดงสปิริตลอยตัวจากทุกตำแหน่ง เพื่อให้ผลสอบสวนที่ได้โปร่งใสและเป็นธรรมมากที่สุด