กลุ่มเมโทรซิสเต็มส์ปรับโครงสร้างองค์กร หลังรายได้รอบปี 50 อยู่ที่ 5 พันกว่าล้านบาท ลดลง 5% ด้วยการดันคลื่นลูกใหม่ขึ้นคุม 4 สายงานธุรกิจเต็มเหนี่ยวผ่านยุทธศาสตร์กรีน ไอซีที และการสร้างเครือข่าย Strategic Alliance Partners หวังขยายฐานลูกค้าด้วยระบบไอทีแบบเบ็ดเสร็จ ตั้งเป้าปีนี้โต 10%
นายกิตติ เตชะทวีกิจกุล รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมโทรซิสเต็มส์คอร์ปอเรชั่น กล่าวถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจรอบปี 2551 ว่า เมโทรซิสเต็มส์ได้มีการปรับโครงสร้างการบริหารองค์กรใหม่ โดยการแต่งตั้งกรรมการบริหารขึ้นดำรงตำแหน่งเพิ่มเติมในฐานะผู้อำนวยการกลุ่มธุรกิจ 4 กลุ่ม ประกอบด้วย 1.กลุ่มธุรกิจด้านฮาร์ดแวร์ หรืออีเอสจี ที่มีสินค้าคือเอนเตอร์ไพรส์ เซิร์ฟเวอร์, พีซี, สตอเรจ เป็นต้น โดยมีนายวีรพันธุ์ ดุรงค์แสง รับผิดชอบ
2.กลุ่มธุรกิจด้านซอฟต์แวร์โซลูชัน หรือเอสไอจี ที่ดำเนินการเกี่ยวกับซอฟต์แวร์และบริการ โดยธุรกิจซอฟต์แวร์แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มคือ อินฟราสตรักเจอร์ ซีเคียวริตี 2.มิดเดิลแวร์ 3.แอปพลิเคชัน ขณะที่เรื่องบริการหรือเซอร์วิสก็แบ่งเป็น 3 กลุ่มคือ 1.การพัฒนาซอฟต์แวร์บนเทคโนโลยีดอตเน็ตของไมโครซอฟท์และไอบีเอ็ม เว็บสเปียร์ 2.เป็นบริการที่โปรวายไว้ให้กับลูกค้า 3.เอดดูเคชัน โดยมีนายอรุณ ต่อเอกบัณฑิต ดูแล
3.กลุ่มธุรกิจด้านออฟฟิศซัปพลาย หรือโอเอสจี ซึ่งขายสินค้าประเภทโทนเนอร์ ครัตทริดจ์, อิงค์ ครัตทริดจ์, มัลติมีเดีย, แฟกซ์ เปเปอร์ และพรินเตอร์ โดยมีนายธงชัย หล่ำวีระกุล ดูแล
4.กลุ่มธุรกิจอุปกรณ์เครือข่ายคอมพิวเตอร์/ผลิตภัณฑ์ของศูนย์คอมพิวเตอร์ หรือเอ็นเอสจี ซึ่งประกอบด้วยสินค้าประเภทสวิตช์, เราเตอร์, ไอพี โฟน, ยูบีเอส, ดาต้า เซ็นเตอร์ โดยมีนายสุรเดช เลิศธรรมจักร์ ดูแล
สำหรับทีมบริหารที่เข้ามากุมบังเหียนใน 4 กลุ่มธุรกิจหลักของเมโทรซิสเต็มส์ เป็นผู้บริหารที่ถูกผลักดันให้ขึ้นมายืนอยู่แถวหน้า เพื่อนำพากลุ่มเมโทรซิสเต็มส์เดินหน้าเต็มที่ เพื่อสร้างธุรกิจให้เจริญเติบโต โดยมีทีมรุ่นพี่เป็นที่ปรึกษา รวมถึงบิ๊กบอสอย่างธวิช จารุวจนะ ประธานกรรมการบริหารก็จะทำหน้าที่ในการให้คำปรึกษา
“โครงสร้างธุรกิจยังเหมือนเดิม แต่มีการแต่งตั้งผู้อำนวยการขึ้นมารับผิดชอบดูแลมากกว่าเดิม และเต็มที่กว่าที่ผ่านมา” นายกิตติกล่าว
ส่วนกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจรอบปีนี้ จะเน้นถึงการนำเสนอสินค้าและบริการใหม่ๆ ที่สอดคล้องกับแนวคิดกรีน ไอซีที โดยเริ่มจากภายในเมโทรซิสเต็มส์ ที่มีการปรับเปลี่ยนศูนย์ดาต้า เซ็นเตอร์ด้วยการใช้เทคโนโลยีเบลด เซ็นเตอร์ ในการทำเซิร์ฟเวอร์ คอนโซลิเดชัน การพัฒนาระบบอีเวิร์กโฟลว์ เพื่อลดปริมาณการใช้งานเอกสารและเพิ่มความรวดเร็วในการปฏิบัติงาน การติดตั้งระบบจ่ายไฟฟ้า และควบคุมความเย็นเพื่อการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนลดความร้อน ซึ่งเกิดจากการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ การวางระบบสายสัญญาณและระบบแบ็กอัปข้อมูล เพื่อเป็นการผลักดันแนวคิดการสร้างระบบกรีน ไอซีที ไปยังลูกค้าในอนาคต
นอกจากนี้ ยังดำเนินกลยุทธ์สร้างพันธมิตรกับบริษัทผู้พัฒนาซอฟต์แวร์โซลูชันให้กับภาคธุรกิจต่างๆ ในลักษณะของ Strategic Alliance Partners เพื่อเป็นการขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ มากขึ้น โดยเมโทรซิสเต็มส์ได้ลงทุนกว่า 7 ล้านบาท ในการปรับปรุงศูนย์สาธิตระบบการจัดเก็บข้อมูล หรือโทเทิล สตอเรจ โซลูชัน เซ็นเตอร์เดิมไปเป็นศูนย์บิสซิเนส พาร์ตเนอร์ อินโนเวชันเซ็นเตอร์ หรือบีพีไอซี เพื่อสนับสนุนให้พาร์ตเนอร์ได้ใช้ประโยชน์ในการเป็นศูนย์สาธิตและทดสอบการทำงานแอปพลิเคชัน หรือโซลูชันให้กับลูกค้า
ทั้งนี้ จากการปรับปรุงโครงสร้างธุรกิจและยุทธศาสตร์ที่เมโทรซิสเต็มส์วางไว้ในปีนี้ เชื่อว่าจะสามารถผลักดันรายได้ให้โต 10% จากรอบปีที่ผ่านมาที่สามารถทำรายได้ทั้งกลุ่มเพียง 5,389 ล้านบาท ลดลงจากปี 2549 กว่า 5.3% และมีกำไรสุทธิลดลง 5.6% เนื่องจากเรื่องของการปรับราคาน้ำมัน ปัญหา Sub Prime และความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ ทำให้ลูกค้าชะลอการลงทุนด้านไอทีหลายโครงการ
แต่สำหรับปีนี้ที่กลุ่มเมโทรซิสเต็มส์ตั้งเป้าไว้ว่าจะโต 10% เพราะเห็นว่า 1.การเติบโตของตัวเลขการส่งออกของอุตสาหกรรมโดยรวมที่สูงถึง 17.5% ในปีที่ผ่านมา ทั้งด้านยานยนต์และอะไหล่ ผลิตภัณฑ์การเกษตร และเครื่องใช้ไฟฟ้า 2.เรื่องของกฎหมาย และข้อกำหนดเพื่อควบคุมการใช้งานคอมพิวเตอร์และความปลอดภัยของข้อมูล รวมทั้งแนวโน้มของกรีน ไอซีที 3.การปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการแข่งขันภาคธุรกิจธนาคาร การเงินและประกันภัยไปสู่การให้บริการที่เป็น Self Service 4.ความต้องการของลูกค้าในการนำไอทีไปสร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจ ซึ่งจะส่งผลให้หลายองค์กรต้องมีการลงทุน ปรับเปลี่ยนหรือเพิ่มเติมระบบไอที หรืออินฟราสตรักเจอร์ต่างๆ เพื่อสร้างความได้เปรียบในเชิงการแข่งขัน เพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน สามารถควบคุมต้นทุนการบริหารจัดการ และปฏิบัติตามข้อกำหนดของรัฐได้อย่างสมบูรณ์
จากเป้ารายได้ที่เมโทรซิสเต็มส์ตั้งไว้ กลุ่มที่ทำรายได้หลักกว่า 70-80% ยังเป็นกลุ่มอีเอสจีและปีนี้คาดว่ากลุ่มนี้จะโตประมาณ 20% กับโอเอสจีที่ปีนี้คาดว่าจะโต 10% ส่วนกลุ่มเอสไอจีกำลังขยายและปีนี้ตั้งเป้าการโตไว้ที่ 10% ขณะที่กลุ่มเอ็นเอสจีเพิ่งเริ่มมาประมาณ 2 ปี และปีนี้คาดว่าจะโต 13%
Company Related Links :
Metrosystems