“จีระพัฒน์” อธิบดีศาลอาญา ออกข้อแนะนำผู้พิพากษา ออกหมายค้น หมายจับ คำสั่งประกันตัว ใช้ดุลพินิจรอบคอบ ประเมินความเสี่ยง คำนึงสิทธิเสรีภาพ-คุ้มครองสังคม
เมื่อวันที่ 21 พ.ย.ที่ผ่านมา นายจีระพัฒน์ พันธุ์ทวี ผู้พิพากษาศาลฎีกา ช่วยทำงานชั่วคราวในตำแหน่ง อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา ได้ออกคำเเนะนำของอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา ว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน ในการพิจารณาออกหมายค้น หมายจับ และพิจารณาคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ความว่า
ด้วยประธานศาลฎีกามีนโยบายส่งเสริมบทบาทศาลยุติธรรมในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนภายใต้หลักนิติธรรม โดยมีการปรับปรุงกฎหมายและข้อบังคับเกี่ยวกับการปล่อยชั่วคราว เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ ลดการเรียกหลักประกัน และกำหนดมาตรการกำกับดูแลให้ใด้สัดส่วนกับพฤติการณ์ที่ถูกกล่าวหาและเหมาะสมกับผู้ต้องหาหรือจำเลยเป็นรายๆ ไป โดยคำนึงถึงผู้เสียหายและความปลอดภัยของสังคมให้เป็นไปตามข้อบังคับของประธานศาลฎีกา ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการออกคำสั่งหรือหมายอาญา (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2565 ข้อบังคับของประธานศาลฎีกา ว่าด้วยการปล่อยชั่วคราวและวิธีเรียกประกันในคดีอาญา พ.ศ. 2565 และข้อบังคับของประธานศาลฎีกา ว่าด้วยการปล่อยชั่วคราวและวิธีเรียกประกันในคดีอาญา (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568
ในการนี้ เพื่อให้การดำเนินการตามนโยบายและข้อบังคับของประธานศาลฎีกาดังกล่าวเป็นไปในแนวทางเดียวกัน อันจะเป็นการคุ้มครองสิทธิเสร็ภาพของประชาชนและการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาศัยอำนาจตามพระธรรมนูญศาลยุติธธรรม มาตรา 11(4) อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาจึงเห็นควรออกคำแนะนำไว้ ดังต่อไปนี้
1. ผู้พิพากษาในศาลอาญาพึงถือเป็นหน้าที่ที่จะดูแลให้การใช้อำนาจในกระบวนการยุติธรรมทางอาญามีผลในทางจำกัดสิทธิเสรีภาพของปัจเจกชนเท่าที่จำเป็นเพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกฎหมาย ผู้พิพากษาในศาลอาญาพึ่งศึกษาระเบียบ ข้อบังคับ และคำแนะนำของประธานศาลฎีกาที่ให้ไว้เพื่อการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของผู้ต้องหาและจำเลย ตลอดจนผู้เสียหายกับการคุ้มครองความปลอดภัยของสังคมให้เหมาะสมอย่างได้สัดส่วนตามแนวทางดังกล่าว
2. ในการพิจารณาคำร้องขอออกหมายจับ แม้ในคดีที่มีอัตราโทษสูงเกินสามปีซึ่งอาจออกหมายจับได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 66(1) แต่หากไม่ปรากฎเหตุว่าการออกหมายเรียกก่อนจะมีผลเสียหายแก่คดี เสี่ยงต่อการที่ผู้ต้องหาจะหลบหนี จะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือก่อเหตุอันตรายประการอื่น ศาลพึงพิจารณาให้ออกหมายเรียกแทนที่จะออกหมายจับ ในกรณีที่พนักงานสอบสวนได้มีการออกหมายเรียกผู้ต้องหาแล้ว ศาลพึงพิจารณาด้วยว่าการส่งหมายดังกล่าวน่าเชื่อว่าผู้ต้องหาได้รับหมายนั้นจริงหรือไม่ ไม่พึงพิจารณาเฉพาะแต่การส่งไปตามภูมิลำเนาตามหลักฐานทะเบียนราษฎรเท่านั้น แต่อาจพิจารณาการยืนยันจากเจ้าพนักงานตำรวจผู้สืบสวนคดีเกี่ยวกับที่อยู่ที่แท้จริงของผู้ต้องหา
3. ในการพิจารณาคำร้องขอฝากขังของพนักงานสอบสวน คำร้องขอปล่อยชั่วคราวของผู้ต้องหาหรือจำเลย ให้ศาลพิจารณาว่ามีเหตุจำเป็นต้องขังตัวผู้ต้องหานั้นไว้ในระหว่างดำเนินการสอบสวนหรือไม่ โดยให้เจ้าหน้าที่ส่วนจัดการงานคดีรวบรวมข้อมูลของผู้ต้องหาเพื่อประเมินความเสี่ยงว่าผู้ต้องหาอาจจะหลบหนี จะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือก่อเหตุอันตรายประการอื่นหรือไม่และรวบรวมข้อมูลของผู้ต้องหาหรือจำเลยที่ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวมาในคราวเดียวกันด้วย เช่น ทำแบบประเมินความเสี่ยง สอบข้อเท็จจริงของผู้ต้องหาหรือจำเลยจากคนกลางหรือสอบถามจากผู้นำชุมชนและสอบถามความสมัครใจในการเป็นผู้กำกับดูแล หรือให้นักจิตวิทยาประจำศาลสอบถามคัดกรองผู้ต้องหาหรือจำเลยเสนอศาลพิจารณา แม้เป็นกรณีที่มีเหตุออกหมายขัง แต่ถ้าศาลเห็นว่ายังมีวิธีป้องกันมิให้ผู้ต้องหาหรือจำเลยหลบหนี หรือยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือก่อเหตุอันตรายประการอื่นได้ ศาลจะงดออกหมายขังและปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจำเลยนั้นก็ได้ กรณีเช่นว่านี้ไม่ตัดอำนาจพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการที่จะดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 87 ต่อไป
กรณีเป็นความผิดอันยอมความได้ หรือเป็นกรณีที่ผู้ต้องหาหรือจำเลยมาปรากฏตัวต่อพนักงานสอบสวนโดยไม่มีการออกหมายจับ พึงพิจารณาดำเนินการตามวรรคหนึ่ง
4. การที่ผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีถิ่นที่อยู่เป็นหลักแหล่ง เป็นผู้ไม่มีถิ่นที่อยู่ถาวรในราชอาณาจักร เคยหลบหนีหรือพยายามหลบหนีการจับกุม หรือเคยก่ออาชญากรรมมาก่อน ให้ถือว่ามีเหตุในเบื้องต้นว่าบุคคลดังกล่าวจะหลบหนี อันเป็นเหตุสมควรกำหนดมาตรการป้องกันการหลบหนี อันเป็นเหตุสมควรกำหนดมาตรการป้องกันการหลบหนีโดยกระบวนการในชั้นปล่อยชั่วคราว
5. กรณีศาลมีคำพิพากษารอการกำหนดโทษหรือรอการลงโทษ อาจกำหนดเงื่อนไขให้เข้ารับคำปรึกษาที่คลินิกให้คำปรึกษาด้านจิตสังคมหรือการคุมความประพฤติก็ได้ หรืออาจกำหนดวิธีการควบคู่กันไปตามที่เห็นสมควร
6. ในคดีที่จำเลยถูกขังระหว่างพิจารณา หากศาลมีคำพิพากษายกฟ้อง ไม่พึงสั่งให้ขังจำเลยไว้ระหว่างอุทธรณ์ เว้นแต่มีเหตุว่าจำเลยจะหลบหนี และหากมีความจำเป็นต้องมีประกันในการปล่อยชั่วคราว อาจกำหนดวงเงินประกันต่ำกว่าบัญชีญชีมาตรฐานวงเงินประกันตามที่เห็นสมควร และจะไม่มีหลักประกันก็ได้
7. การพิจารณาคำร้องขอปล่อยชั่วคราวในระหว่างสอบสวนและระหว่างพิจารณาเป็นอำนาจของผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอาญาซึ่งปฏิบัติหน้าที่เวรชี้/เวรสั่ง และเวรฝากขังในวันทำการปกติพิจารณาสั่งคำร้องขอปล่อยชั่วคราวในคดีที่ไม่ยุ่งยาก ไม่ชับช้อน อัตราโทษไม่สูงและราคามาตรฐานกลางการเรียกหลักประกันไม่สูง เว้นแต่คดีที่ต้องปรึกษารองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา ผู้พิพากษาหัวหน้าแผนกในศาลอาญา และอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา ตามคำสั่งศาลอาญาที่ 169/2568 ลงวันที่ 1 ต.ค. 2568 เรื่อง มอบหมายหน้าที่รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาและผู้พิพากษาหัวหน้าแผนกในศาลอาญา ข้อ 10 ทั้งนี้ คดีที่สั่งไม่เป็นไปตามมาตรฐานกลางให้ปรึกษารองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาหรือผู้พิพากษาหัวหน้าแผนกในศาลอาญาซึ่งปฏิบัติหน้าที่เวรสั่งคำร้องขอปล่อยชั่วคราวประจำสัปดาห์นั้นก่อนมีคำสั่ง
กรณีตามคำร้องขอปล่อยชั่วคราวมีหลายข้อหา หากข้อหาใดข้อหาหนึ่งต้องเสนอรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาหรือผู้พิพากษาหัวหน้าแผนกในศาลอาญาพิจารณาสัง หรือมีข้อหาที่ไม่ได้กำหนดในบัญชีมาตรฐานกลางสำหรับการปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจำเลยของศาลอาญาและบัญชีมาตรฐานกลางสำหรับการปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจำเลยของศาลอาญา (ประมวลกฎหมายยาเสพติด)หรือเป็นข้อหาที่อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาเห็นสมควรพิจารณาสั่ง ให้เสนอคำร้องขอปล่อยชั่วคราวให้รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาหรือผู้พิพากษาหัวหน้าแผนกในศาลอาญาซึ่งปฏิบัติหน้าที่เวรสั่งคำร้องขอปล่อยชั่วคราวเป็นผู้พิจารณาสั่ง
8. การพิจารณาคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ให้พิจารณาตามข้อบังคับของประธานศาลฎีกาว่าด้วยการปล่อยชั่วคราวและวิธีเรียกประกันในคดีอาญา พ.ศ. 2565 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับของประธานศาลฎีกา ว่าด้วยการปล่อยชั่วคราวและวิธีเรียกประกันในคดีอาญา (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568
9. การพิจารณาคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ศาลพึงพิจารณาปล่อยชั่วคราวโดยใช้มาตรการที่จำกัดสิทธิเสรีภาพของผู้ต้องหาหรือจำเลยให้น้อยที่สุดเท่าที่เห็นว่าจะสามารถควบคุมให้ผู้ต้องหาหรือจำเลยปฏิบัติตามเงื่อนไขของศาลโดยไม่หลบหนี ไม่ไปยุ่งเหยิงกันกับพยานหลักฐาน หรือไม่ไปก่อเหตุอันตรายประการอื่น หรือเป็นอุปสรรคต่อการสอบสวนหรือการพิจารณา แล้วแต่กรณีการพิจารณาตามวรรคหนึ่งให้พึงพิจารณาถึงสวัสดิภาพของผู้เสียหาย พยาน และความปลอดภัยของสังคมด้วย
10. เพื่อลดความจำเป็นในการเรียกหลักประกันซึ่งทำให้ผู้ต้องหาหรือจำเลยที่ยากจนไม่อาจได้รับการปล่อยชั่วคราวและเสริมสร้างประสิทธิภาพในการป้องกันการหลบหนีและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการปล่อยชั่วคราว ศาลอาจพิจารณาใช้มาตรการกำกับดูแลตามพระราชบัญญัติมาตรการกำกับและติดตามจับกุมผู้หลบหนีการปล่อยชั่วคราวโดยศาล พ.ศ. 2560
ในการพิจารณาใช้มาตรการกำกับดูแลตามวรรคหนึ่ง ศาลพึงตั้งผู้กำกับดูแลผู้ต้องหาหรือจำเลยที่ได้รับอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ที่มีลักษณะต่อไปนี้
10.1 ตั้งผู้กำกับดูแลทำหน้าที่รับรายงานตัว
10.2 ตั้งผู้กำกับดูแลทำหน้าที่สอดส่องดูแล กรณีผู้ต้องหาหรือจำเลย จำเป็นต้องมีการกำกับหรือตักเตือนให้ผู้ถูกปล่อยชั่วคราวปฏิบัติตามเงื่อนไขของศาล และคอยสอดส่องพฤติกรรมว่าปฏิบัติตามเงื่อนไขของศาลหรือไม่
10.3 ตั้งผู้กำกับดูแลทำหน้าที่ให้คำปรึกษา กรณีผู้มีผู้ต้องหาหรือจำเลยมีปัญหาด้านจิตสังคม หรือจำเป็นต้องได้รับการบำบัดรักษาการติดยาเสพติด หรือการเจ็บป่วยทางจิต


