ศาลอาญานัดพิพากษา “วีระ มุสิกพงศ์” กับพวกแกนนำ นปช. 10 คน มั่วสุมชุมนุมขับไล่รัฐบาล “มาร์ค-อภิสิทธิ์” ปิดทางเข้า-ออก ทำเนียบรัฐบาล และบุกบ้านพัก “ป๋าเปรม” เมื่อปี 2552
เมื่อเวลา 09.00 น.วันนี้ (20 ส.ค.) ที่ห้องพิจารณา909 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดี นปช.ก่อความวุ่นวาย หมายเลขดำ อ.968/2561 ที่อัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ฟ้อง นายวีระกานต์ หรือ วีระ มุสิกพงศ์ อดีตประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (ปธ.นปช.) พร้อมแกนนำ นปช. คนอื่นๆ รวม 10 คนเป็นจำเลย 1-10 ในความผิด ฐานร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป สร้างความกระด้างกระเดื่องก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง, ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ พ.ศ. 2548
กรณีเมื่อระหว่างวันที่ 31 ม.ค.- 9 เม.ย. 2552 พวกจำเลยร่วมกันชุมนุมขับไล่รัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ปิดทางเข้าออกทำเนียบรัฐบาล เพื่อขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ รวมถึงมีผู้ชุมนุมบางส่วนบุกไปยังบ้านพัก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี (ขณะนั้น) เพื่อกดดันให้ พล.อ.เปรม พร้อมด้วย พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และนายชาญชัย ลิขิตจิตถะ ลาออกจากองคมนตรีรวมทั้งการปิดล้อมสถานที่ราชการสำคัญๆ หลายแห่งใน กทม .
สำหรับจำเลยทั้ง 10 คน ประกอบด้วย
1. นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์
2. นายจตุพร พรหมพันธุ์
3. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
4. นพ.เหวง โตจิราการ
5. นายสิระ หรือ สรวิชญ์ พิมพ์กลาง แกนนำคนเสื้อแดง จ.สกลนคร
6. นายนายณรงศักดิ์ มณี
7. นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท
8. นายพิพัฒน์ชัย ไพบูลย์
9. นายพายัพ ปั้นเกตุ
10. นายพงศ์พิเชษฐ์ หรือ พิเชษฐ์ สุขจินดาทอง
ซึ่งจำเลยให้การปฏิเสธ และได้รับการประกันตัวระหว่างสู้คดี คนละ 2 แสนบาท
ต่อมาเมื่อเวลา 09.00 น. นายวีระกานต์ หรือ วีระ มุสิกพงศ์ สวมเสื้อซาฟารีสีเทา สีหน้าเรียบเฉย มีผู้ติดตามคอยเดินประคองและมาให้กำลังใจจำนวนหนึ่ง รวมทั้ง นายพายัพ ปั้นเกตุ นายณรงศักดิ์ มณี และนายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท
ขณะที่ นพ.เหวง เดินทางมาถึงที่ศาลอาญาพร้อมกับ นางธิดา ถาวรเศรษฐ อดีตแกนนำ นปช. ภรรยา โดยพูดกับสื่อมวลชนสั้นๆ ว่า วันนี้ ตนไม่มีความกังวลอะไรกับการพิพากษาของศาลในวันนี้ ส่วนคำพิพากษาจะเป็นโทษหรือเป็นคุณกับตนหรือไม่นั้น อยู่ที่ดุลพินิจของศาล ซึ่งตนเคารพคำพิพากษาของศาลอยู่แล้ว แต่อย่างไรก็ตามตนเชื่อในพยานหลักฐานว่าตนไม่ได้ทำอะไรผิด
ต่อมาเมื่อเวลา 09.30 น. นายจตุพร ให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้เป็นหน้าที่ของตนที่ต้องเข้ามาฟังคำพิพากษาของศาลที่ได้นัดฟังคำพิพากษาคดีเมื่อ 16 ปีก่อนหน้านี้ โดยตนเคารพคำตัดสินของศาลไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร
ผู้สื่อข่าวถามว่า วันนี้ได้กลับมาเจอแนวร่วมเดิมที่เคยทำกิจกรรมการทางการเมืองร่วมกันมาก่อน แต่วันนี้ต้องอยู่คนละขั้วกันรู้สึกอย่างไรบ้าง นายจตุพร กล่าวว่า ตนยังไม่รู้สึกอะไร เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นในช่วง 16 ปีที่ผ่านมา ถือเป็นประวัติศาสตร์ที่เปลี่ยนอะไรไม่ได้ ส่วนแนวทางทางการเมืองที่เปลี่ยนไปของแกนนำแต่ละคนจะสามารถพูดคุยกันได้หรือไม่นั้น ในวันนี้ตนถือว่าทุกคนเป็นจำเลยร่วมกัน จะต้องนั่งร่วมในซีกของจำเลยอยู่แล้ว แต่ก็ไม่มีอะไรที่ต้องพูดกับแกนนำรายอื่นเป็นพิเศษ และยืนยันว่า ไม่มีเรื่องที่จะต้องทะเลาะกันเป็นการส่วนตัว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในวันที่ 22 ส.ค.นี้ จะเป็นการพิพากษาคดี 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ของนายทักษิณ ชินวัตร มองทิศทางหลังจากนั้นเป็นอย่างไรบ้าง
นายจตุพร กล่าวว่า เป็นกระบวนการของศาลชั้นต้นอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเรื่อง 112 หรือ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ส่วนที่มีคนใกล้ชิดขแงนายทักษิณ มั่นใจว่าคดีนี้จะถูกยกฟ้องนั้น ตนมองว่าความมั่นใจกับข้อเท็จจริงเป็นคนละเรื่องกัน โดยเฉพาะตนที่ผ่านคดีความมามากมายนั้นต่อให้มั่นใจอย่างไรแต่ผลลัพธ์สุดท้ายคือความจริงที่ปรากฏออกมา จึงเป็นธรรมดาของคนที่เป็นจำเลยย่อมมีความเชื่อมั่นในตัวเอง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล
เมื่อถามว่า หากวันนี้คำพิพากษาไม่เป็นคุณกับตนเองจะส่งผลกระทบกับการชุมนุมของกลุ่ม หลอมรวมประชาชน ที่เป็นแกนนำอยู่หรือไม่ นายจตุพร กล่าวว่า ตนมองว่าไม่ส่งผล เพราะกลุ่มมีคนประชาชนผู้ร่วมอุดมการณ์อีกเป็นจำนวนมาก ตนเป็นแค่จิ๊กซอว์ตัวหนึ่งที่เป็นส่วนประกอบของกลุ่มนั้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า หลังจากวันที่ 29 ส.ค. จะมีสัญญาณการเปลี่ยนรัฐบาลหรือไม่ นายจตุพร กล่าวว่า ตนมองว่า รัฐบาลนี้หมดความชอบธรรมไปแล้ว โดยไม่สามารถแก้ปัญหาทั้งในและนอกได้ รวมถึงความนิยมก็ตกต่ำลงไปเรื่อยๆ กว่าครึ่ง ตนจึงมองว่ารัฐบาลนี้ควรที่จะเสียสละเพื่อระบอบประชาธิปไตย และถ้ายิ่งยื้อต่อไปเรื่อยๆ และกอดความเสียหายของประเทศเอาไว้ ท้ายที่สุดตนไม่อยากจะให้ตอนจบเป็นแบบเดิมเหมือนก่อนหน้านี้
เมื่อเวลา 09.50 น. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตแกนนำ นปช. และที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีได้เดินทางมายังศาลโดยไม่ได้ให้สัมภาษณ์ใดๆ กับสื่อมวลชน ก่อนรีบขึ้นไปฟังการพิจารณา