“อัยการวัชรินทร์” จ่อสอบ ก.ต่างประเทศ-กรมศุลฯ ขอข้อมูลสำคัญคดี ปอศ.จับเรือค้าน้ำมันเถื่อน ชี้ ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าจับกุมในน่านน้ำไทย หรือเขต 12 ไมล์ทะเล หากจับนอกเขต ถือว่าไม่มีความผิด
วันนี้ (19 มิ.ย.) นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองอธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยถึงการประชุมคดีจับกุมเรือบรรทุกน้ำมันเถื่อน แต่เรือของกลางหาย 3 ลำ ซึ่งเป็นคดีนอกราชอาณาจักร ซึ่งอัยการจะทำหน้าที่แนะนำหรือออกสั่งการได้ว่า จากการประชุมหารือกับพนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนที่ นายอำนาจ เจตเจริญรักษ์ อัยการสูงสุด แต่งตั้ง โดยมีตนและอัยการอีกคน เข้าร่วมสอบสวนด้วยได้ข้อสรุปว่า จุดจับกุมเป็นจุดสําคัญ จะต้องทําข้อเท็จจริงให้ปรากฏชัด มีการกระทําความผิดหรือไม่ และสองใครเป็นผู้กระทําความผิด ในประเด็นที่สองตนไม่กังวล เพราะมีคนที่อยู่ในเรือ 28 คน เราได้จัดทําการสืบสวนขยายผลว่าใครสั่งการ ใครเป็นเจ้าของเรือ เรื่องนี้ไม่ยาก
แต่ประเด็นที่หนึ่ง ตำแหน่งที่ถูกจับกุม เราไม่แน่ชัดว่า จุดที่จับเป็นบริเวณใด เพราะในสํานวนการสอบสวน ระบุว่า แถวปิโตรเลียมจัสมิน ตรงนี้คาบเกี่ยวระหว่างทะเลไทยกับน่านน้ำสากล เรามีอํานาจในการดําเนินการในทะเลอาณาเขตอยู่ในระยะ 12 ไมล์ทะเล ดังนั้น ต้องหาความชัดเจนตรงนี้ ไม่เช่นนั้นเดี๋ยวเป็นข้อต่อสู้ว่า เขาไม่ได้เข้ามาในเขตน่านน้ำไทย เพราะข้อหาที่ฝ่ายจับกุมตั้งมาเป็นข้อหา พยายามทําผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากรในการนําน้ำมันเข้าโดยไม่ผ่านศุลกากร หรือตาม พ.ร.บ.สรรพสามิต การตั้งข้อหาพยายามกระทําความผิด หมายความว่า ต้องมีการลงมือแล้วและทําไม่สําเร็จ เพราะฉะนั้นหลักฐานข้อเท็จจริงต้องปรากฏว่าผู้กระทำผิดกําลังจะเอาน้ำมันเข้ามาขายในไทยแล้วก็โดนจับได้ก่อน โดยในสัปดาห์หน้าจะตนจะสอบสวนกรมสนธิสัญญาและกฎหมายของกระทรวงต่างประเทศ ซึ่งจะเป็นผู้ชี้ให้รู้ว่าจุดดังกล่าว อยู่ในเขตน่านน้ำไหน รวมถึงไปสอบสวนกับกรมศุลกากรในด้านกฎหมายอย่างละเอียดรวมทั้งพยานแวดล้อมต่างๆ จากนั้นต้นเดือนหน้า หลังจากที่ได้ข้อมูลเรื่องเขตน่านน้ำไทยจากกระทรวงต่างประเทศแล้ว ตนจะประสานกับทางตำรวจหรือกองทัพเรือนั่งเฮลิคอปเตอร์ไปดูทะเลจุดจับกุมด้วยตนเอง เพื่อพิสูจน์การทำผิดของผู้ต้องหา
“แต่อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่า คนจับกุมกับคนสอบสวนอยู่คนละชุดกัน ฝ่ายจับอาจจะรู้ข้อมูลชัดเจน แต่คนสอบสวนเราไม่ได้ไปจับเราด้วย ไม่รู้เลยว่าจุดที่จับอยู่ตรงไหนแน่ เรากลัวเป็นข้อต่อสู้ในภายหลัง ตรงนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก ถือว่าเป็นจุดตายของคดีเลย แล้วสํานวนนี้ต้องนําเสนอท่านอัยการสูงสุด เป็นคนสั่งคดีเนื่องจากเป็นคดีนอกราชอาณาจักร เพราะฉะนั้นเราต้องสอบและทำสำนวนโดยละเอียด ถ้าเกิดเสนอสํานวนขึ้นไป ท่านอัยการสูงสุดต้องตั้งคำถาม เรื่องจุดจับกุม หรืออำนาจจับกุม อย่างอาจจะอยู่นอกน่านน้ำไทยก็จริง แต่เป็นเขตที่สามารถจับกุมได้โดยศุลกากร ประเด็นจุดจับกุมจึงสำคัญมาก หากนอกเขตที่เรามีอํานาจจับกุม จะกลายเป็นว่าไม่มีความผิด” นายวัชรินทร์ กล่าว
ระหว่างนี้ทีมสอบสวนก็ไม่ได้ทิ้งประเด็นที่สอง เรื่องที่ว่าใครเป็นผู้ร่วมกระทําผิด กับผู้ต้องหาทั้ง 28 คนนี้ เรามีอีกชุดสอบสวนที่จะต้องไปหา ผู้ที่เกี่ยวข้อง อย่างเจ้าของเรือ คนสั่งการ เพราะข่าวลือว่าอักษรย่อ จ.คนนั้นคนนี้ อยู่นอกสำนวนทั้งหมด