ตำรวจ ปอศ.มั่นใจสำนวนคดีน้ำมันเถื่อนค่อนข้างสมบูรณ์ เชื่อเอาผิดผู้ที่เกี่ยวข้องได้ คาดแล้วเสร็จภายใน 6 เดือน ส่งอัยการสูงสุดพิจารณาสั่งฟ้อง
วันนี้ (19 มิ.ย.) พ.ต.อ.ชัชวาล ชูชัยเจริญ ผกก.2 บก.ปอศ. กล่าวถึงกรณีที่มีความเห็นจากพนักงานอัยการสูงสุด ว่า การดำเนินคดียึดเรือน้ำมันเถื่อนของกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ หรือ บก.ปอศ. อาจทำได้ยาก เพราะพื้นที่จับกุมเป็นพื้นที่นอกราชอาณาจักร ซึ่งอยู่ในเขตเศรษฐกิจจำเพาะ ว่า จากกรณีดังกล่าวขอยืนยันว่า จุดที่จับกุมเป็นพื้นที่เศรษฐกิจจำเพาะ อยู่ห่างออกจากเส้นฐาน 80 ไมล์ทะเล หากอยู่อยู่ในพื้นที่น่านน้ำไทยจะห่างเพียง 12 ไมล์ทะเล ทำให้คดีนี้ถือเป็นคดีนอกราชอาณาจักร เพราะฉะนั้นอำนาจในการสอบสวนดำเนินคดีจะเป็นของพนักงานอัยการสูงสุด และ มีตำรวจเข้าไปสอบสวนร่วมด้วย
สำหรับคดีดังกล่าวมีการสืบสวนหาข้อเท็จจริงว่ามีขบวนการลักลอบค้าน้ำมันเถื่อน โดยใช้ช่องว่างทางกฎหมายในพื้นที่นอกราชอาณาจักร จึงได้แจ้งไปทางศูนย์ปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ ศปมน.ตร. ให้ทราบ ก่อนที่จะมีคำสั่งให้กองบัญชาการสอบสวนกลาง ทั้ง บก.ปอศ. รวมถึงตำรวจน้ำ และ ตำรวจกองปราบช่วยกันสืบสวนดำเนินคดีเรื่องนี้ ซึ่งการจับกุมวันที่ 17 มี.ค.ที่ผ่านมา พบการกระทำความผิด 2 จุด ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจจำเพาะ จุดแรกประกอบด้วยเรือ เจพี โชคบุญชู และกำไลเงินเหล็ก เจ้าหน้าที่พบน้ำมันเถื่อนในเรือเจพี โดยมีเรืออีกสองลำขนาบข้าง ส่วนจุดที่ 2 เจอเรือดาวรุ่ง และ ซีฮอต ซึ่งเรือซีฮอตพบน้ำมันเถื่อนอยู่ เมื่อสอบถามถึงที่มาของน้ำมันเถื่อน กลับไม่ได้รับคำตอบ แต่พบว่า 3 ลำ ใน 5 ลำ คือ เจพี ดาวรุ่งและซีฮอต มีคนสั่งการคนเดียวกัน ซึ่งทราบภายหลังว่าคือ นายเล็ก แต่ยังไม่มีข้อมูลชื่อจริงและรายละเอียดที่ชัดเจน ซึ่งบุคคลนี้ก็เป็นคนที่บงการให้ลูกเรือลักเรือหลบหนี ส่วนเรือที่เหลือ 2 ลำก็มีผู้สั่งการอีกกลุ่มนึง
“ทั้งนี้ มีข้อมูลจากผู้กล่าวหา ซึ่งเป็นชุดสืบสวนคดีน้ำมันเถื่อน ที่เคยจับกุมขบวนการน้ำมันเถื่อนก่อนหน้านี้สองครั้ง โดยผู้ต้องหาในคดีนั้นให้การว่าซื้อน้ำมันเถื่อนจากจุดซื้อขายน้ำมันเถื่อนซึ่งเป็นพื้นที่เศรษฐกิจจำเพาะ ทำให้เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมไปตรวจสอบจุดนั้น และพบการกระทำความผิด ซึ่งส่วนนี้ทำให้มั่นใจว่าการสืบสวนมีหลักฐานเกี่ยวกับการกระทำความผิดที่จะเข้ามาประกอบในสำนวนค่อนข้างชัดเจน จึงไปปรึกษากับทางพนักงานเอกการสูงสุดเมื่อวานนี้ โดยอัยการแนะนำให้ไปสอบปากคำหนึ่งหน่วยงานเพิ่มเติมเท่านั้น นั่นหมายความว่า ตอนนี้ข้อมูลค่อนข้างจะสมบูรณ์ระดับนึงแล้ว และจะเร่งทำสำนวนให้แล้วเสร็จภายในหกเดือน”
พ.ต.อ.ชัชวาล กล่าวอีกว่า สำหรับเรือน้ำมันเถื่อน 5 ลำ ที่จับกุมได้ มีเพียง 1 ลำ ที่เป็นเรือไทยมีทะเบียนถูกต้อง ส่วนอีก 4 ลำเป็นเรือเถื่อนทั้งหมด แบ่งเป็น เรือโชคบุญชู เป็นเรือไทย มีทะเบียนรู้ตัวเจ้าของ ส่วนเรือกำไลเงินเหล็ก และ เรือเจพี มีข้อมูลว่าขายให้คนมาเลเซียไปพร้อมกัน เมื่อขายให้ชาวต่างชาติเจ้าหน้าที่จึงเพิกถอนทะเบียน โดยจากข้อมูลก็พบว่าชาวมาเลย์ คนนี้ออกจากประเทศไทยไปตั้งแต่ 5 ปีที่แล้ว ส่วนเรือดาวรุ่ง และซีฮอต เป็นเรือเถื่อนไม่มีทะเบียน ไม่ปรากฏชื่อว่าเป็นของใคร แต่ในทางสืบสวนรู้ตัวคนที่คาดว่าเป็นเจ้าของแล้ว โดยพบว่ามีข้อพิรุธเพราะก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่เคยเรียกเจ้าของเรือที่มีทะเบียน รวมถึงกลุ่มคนที่คาดว่าครอบครองเรือเถื่อนมาสอบปากคำ แต่ก็ไม่มีใครมาให้ข้อมูลทำให้คาดว่ากลุ่มนี้เป็นขบวนการเดียวกันทั้งหมด
ส่วนการตามจับกุม เสี่ยโจ้ ปัตตานี เรื่องการค้าน้ำมันเถื่อนก่อนหน้านี้จะสามารถขยายผลมาถึงเรื่องเรือเถื่อนกลุ่มนี้ได้หรือไม่ พ.ต.อ.ชัชวาล บอกว่า ทาง บก.ปอศ.จะตรวจสอบเรื่องเอกสาร ส่วนการสืบสวนจะเป็นหน้าที่ของกองบังคับการปราบที่จะหาหลักฐานเรื่องเส้นทางการเงิน หลักฐานทางเทคโนโลยี ว่าจะเชื่อมโยงกับใครบ้าง