รายการ “ถอนหมุดข่าว” เผยแพร่ทางแอปพลิเคชั่น SONDHI APPสถานีโทรทัศน์ NEWS1 ช่องยูทูปNEWS1 และเฟซบุ๊กแฟนเพจNEWS1 วันอังคารที่ 27 กุมภาพันธ์ 2567 นำเสนอรายงานพิเศษ “เจ๊นุ”ผูกคอลาโลก เหยื่อคดียึดบ้านอากู๋ ชดใช้การกระทำด้วยชีวิต
จากกรณีเพื่อนบ้านบุกรุกบ้านอากู๋แล้วยื่นฟ้องครอบครองปรปักษ์ ก่อนจะโดนเจ้าของตัวจริงฟ้องกลับจนถูกนำตัวขึ้นศาล 5 คน ในข้อหาบุกรุกทำลายทรัพย์สินเมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ท่ามกลางกระแสสังคมที่แสดงออกในทิศทางเดียวกันว่า
ผู้บุกรุกจงใจละเมิดทรัพย์สินของผู้อื่นอย่างชัดเจน ผิดทั้งกฎหมายและศีลธรรมอย่างชัดแจ้ง แม้ผู้ต้องหาทั้งหมดจะได้รับการประกันตัว เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ แต่เมื่อถึงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ หรือเพียง 7 วัน หลังได้รับอิสรภาพ ระหว่างการต่อสู้คดี หนึ่งในผู้ต้องหาคือ นางสาวภาณุมาศ สามัคคี อายุ 52 ปี ซึ่งสามีของเธอเป็นเจ้าของบริษัท ที่ตั้งอยู่ข้างบ้านของอากู๋ ได้ตัดสินใจใช้ผ้าปูที่นอนผูกคอฆ่าตัวตายในห้องน้ำ
ทั้งนี้นางสาวภาณุมาศ คือคู่กรณีคนแรกที่ออกมาเปิดตัวผ่านสื่อมวลชน ในรายการ “โหนกระแส” เมื่อเดือนกันยายน 2565 โดยยอมรับว่า ได้บุกรุกเข้าไปยังบ้านของอากู๋จริง พร้อมกับทำการต่อเติม เนื่องจากต้องการใช้บ้านหลังดังกล่าวซึ่งถูกทิ้งร้าง เป็นสถานที่รับประทานอาหารของตนเองและพนักงานบริษัทคนอื่นๆ
แต่เมื่อได้ทราบว่า นายซันหรือนายภาคินและนางสาวอาย สองสามีภรรยา ซึ่งเป็นหลานของอากู๋ และได้รับมอบบ้านหลังดังกล่าวเป็นของขวัญแต่งงาน เธอจึงยินดีที่จะย้ายออกพร้อมกับยืนยันว่า จะไม่มีการฟ้องครอบครองปรปักษ์อย่างแน่นอน
แต่หลังจากนั้นไม่นาน ได้ปรากฏชื่อของนางสาวศรีพรรณ สามัคคี ซึ่งมีบ้านอยู่ตรงข้ามกับบ้านของอากู๋ และกระแสข่าวระบุว่าเป็นพี่สาวของเธอ ได้ไปยื่นฟ้องครอบครองปรปักษ์ พร้อมกับอ้างสิทธิ์ว่าเป็นเจ้าของตามคำสั่งของศาล และนำป้ายไปแขวน โฆษณาว่า เป็นที่ตั้งของร้านขายไก่ตะเกียบ
รวมทั้งยัง ติดประกาศห้ามบุกรุก ผู้ฝ่าฝืนจะดำเนินคดีตามกฎหมาย ทั้งที่ในขณะนั้น คดีฟ้องครอบครองปรปักษ์ยังมิได้มีคำตัดสินจากศาลแต่อย่างใด
ด้วยเหตุนี้นายซันและนางสาวอาย ซึ่งเป็นคู่กรณี จึงมอบอำนาจให้ทนายอำนวยพรมณีวรรณ ซึ่งเป็นทนายความในทีมของทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ หรือทนายจุ๊กกรู ซึ่งรับว่าความให้กับอากู๋ ดำเนินการฟ้องแย้งนางสาวศรีพรรณ ซึ่งอ้างพยานถึง 10 ปากโดยมีพระภิกษุรวมอยู่ด้วย เป็นผู้ยืนยันว่าตนเองครอบครองบ้านดังกล่าวจริง
นอกจากนี้ฝ่ายเจ้าของตัวจริงยังได้นำเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางไปตัดกุญแจที่นางศรีพรรณนำมาล็อคบ้านพร้อมกับยึดสิ่งของต่างๆ อาทิ โซฟา เครื่องครัว โต๊ะเก้าอี้ ที่นางศรีพรรณ นำเข้ามาไว้ในบ้าน เพื่อจัดฉากว่า ตนเองเข้ามาพักอาศัยเกินกว่า 10 ปี เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเก็บไปเป็นพยานวัตถุ
สำหรับดำเนินคดีในข้อหาบุกรุก และทำลายทรัพย์สิน ซึ่งเป็นการแจ้งความดำเนินคดีครั้งที่ 2 และเป็นคนละส่วนกับคดีบุกรุกในครั้งแรกที่มีการส่งฟ้องศาลไปแล้ว เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์
จนกระทั่งเมื่อถึงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา นางสาวภาณุมาศหรือที่ใครๆเรียกว่า เจ๊นุ ได้ตัดสินใจจบชีวิตตนเองด้วยการผูกคอลาโลกดังที่กล่าวมาข้างต้น
หลังเกิดเหตุการเสียชีวิตของนางสาวภาณุมาศ ทนายความคู่ใจนางศรีพรรณซึ่งกระแสข่าวระบุว่า พักอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเดียวกับนางศรีพรรณ ออกมาให้สัมภาษณ์ ด้วยเนื้อหาที่ไม่ต่างอะไรกับการกวักมือเรียกรถทัวร์ในโลกโซเชียล
โดยทนายคนดังกล่าวได้แสดงทรรศนะแบบปากแจ๋วว่า
“เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น เป็นเพราะฝั่งเจ้าของบ้านยืมมือสื่อมวลชนมากดดัน ลูกความของตน เหมือนที่เคยทำมาแล้วเมื่อเดือนกันยายนปีก่อน จนนางสาวภาณุมาศที่ไปออกรายการ ต้องยอมคืนบ้านเพื่อถอยออกมาตั้งหลักเพราะความตกใจ”
แต่เมื่อกระแสข่าวซาลง ลูกความของตนจึงกลับเข้าไปครอบครองบ้านอีกครั้งหนึ่ง และยื่นฟ้องครอบครองปรปักษ์ตามสิทธิ์ที่กฎหมายเปิดช่องให้ ทั้งนี้การฟ้องร้องดังกล่าว ตนเองในฐานะทนาย มิได้ยุยงแต่อย่างใด ซึ่งขณะนี้ตนเองได้รวบรวมหลักฐาน เพื่อที่จะดำเนินคดีกับฝ่ายเจ้าของบ้าน และใครก็ตามที่ชี้นำสังคม หรือกล่าวหาตนเองในลักษณะดังกล่าว
ในท้ายที่สุดของการให้สัมภาษณ์หลังการเสียชีวิตของลูกความยอดทนายผู้พกความมั่นใจเต็มเปี่ยม ยังกล่าวด้วยว่า
ลูกความของตนเคยยืนยันแล้วว่า ถ้าชนะคดีจะคืนบ้านให้กับฝ่ายอากู๋ โดยไม่คิดเงินแม้แต่บาทเดียว เพราะไม่เคยอยากได้บ้านหลังนี้ฟรี ๆ อยู่แล้ว ส่วนที่ฝ่ายอากู๋ตั้งราคาขายบ้าน หลายล้านนั้น ก็เป็นราคาที่สูงเกินจริง เพราะบ้านหลังดังกล่าว ราคาในปัจจุบันมีมูลค่าถึง 1 ล้านบาทหรือเปล่าก็ไม่รู้
กระแสสังคมที่ปรากฏตัวเป็นศาลโซเชียล ล้วนแล้วแต่ชี้ไปไหนทิศทางเดียวกัน ว่า
เพราะอยากได้ทรัพย์สินของผู้อื่นโดยมิชอบ เรื่องจึงลงเอยแบบนี้ รวมทั้งยังมีเสียงเรียกร้องให้สภาทนายความตรวจสอบจริยธรรมของทนายที่ว่าความให้กับนางสาวศรีพรรณ ซึ่งเป็นผู้จุดชนวนให้เรื่องลุกลามบานปลายใหญ่โต
จนชีวิตหนึ่งซึ่งอาจจะไม่มีความรู้ทางกฎหมายต้องได้รับผลกระทบจากการกระทำของทนายความและพี่สาว ทำให้ตัวเองต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าอนาถ
สังคมไทยจึงต้องติดตามต่อไปว่า เวรกรรมจะตอบสนอง “ฆาตกรตัวจริง” ที่ทำให้นางสาวภานุมาศต้องจบชีวิตลง ในลักษณะใด
--------------------------------
**หมายเหตุ
แอป Sondhi App ดาวโหลดได้แล้ว
ระบบ iOS ไปที่ AppStore :https://apps.apple.com/th/app/sondhi-app/id1588046647
ระบบ android ไปที่ Google Play :https://play.google.com/store/apps/details?id=com.sondhitalk.asia.android