ตำรวจเกษียณร้องสภาทนายความถูกหลอกให้ลงทุนเล่นหุ้นสูญเงินกว่า 2 แสน แถมเจอทนายความปลอมหลอกโอนเงินค่าทนายความอีก 2 หมื่นบาท
ที่สภาทนายความในพระบรมราชูปถัมป์ำ ถ.พหลโยธิน วันนี้ (31ม.ค.) นายวิเชียร ชุปไธสง นายสภาทนายความ นายสุนทร พยัคฆ์ เลขาธิการสภาทนายความ นายสัญญาภัชระสามารถ อุปนายกฝ่ายปฎิบัติการ นำร.ต.ท.สราวุธ มงคลรบ อายุ 65 ปี ข้าราชการบำนาญ และนายจักวัชร์ วัฒโน ทนายความ ที่ถูกแอบอ้างชื่อมาแถลงข่าว
นายวิเชัยร กล่าวว่า ร.ต.ท.สราวุธ ภูมิลำเนาอยู่ จ.พิษณุโลก มีความคิดอยากมีรายได้หลังเกษียณจึงไปลงทุนซื้อหุ้นจากเพจชื่อ"เอ้กซ์เอ็ม"ซื้อขายหุ้นเป็นเงินเหรียญ ได้กำไรกลับมาคราวละมาก เริ่มต้นลงทุนหลักร้อยเหรียญ ครั้งแรกได้กำไร จึงลงทุนต่อไป โดยไม่มีความรู้เรื่องตลาดหุ้นเลย แต่พอซื้อขายหุ้นมาสักระยะก็จะเทขาย แต่ทางบริษัทไม่ยอมง่ายๆอ้างว่าติดเงื่อนไขต่างๆ เช่นต้องมีค่าภาษี ค่ามัดจำ ค่าประกันท้ายสุดก็ไม่ได้เงินคืนจึงรู้ว่าถูกหลอกได้แจ้งความดำเนินคดีบุคคลที่มาหลอกลวงชักชวนให้เล่นหุ้น เพราะสูญเสียเงินไปกว่า 200,000 บาท
กระทั่งต่อมาไปพบเห็นเพจของกองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี จึงติดต่อไปขอความช่วยเหลือ ทางเพจก็ส่งลิงค์ เพจของทนายความชื่อ"ทนายจักรวัชร์ วัฒโน"ให้ดำเนินคดี ซึ่งเพจทนายความมีรูปภาพใบอนุญาต หนังสือประจำตัว หนังสือมอบอำนาจจากสภาทนายความ ซึ่งมาทราบภาบหลังว่าปลอมทั้งสิ้น โดยได้พูดคุยสนทนาทางไลน์กับทนายจักรวัชร์ตัวปลอม จนโอนจ่ายค่าทนายความไป 23,000 บาท และยังติดต่อขอให้โอนเงินค่าธรรมเนียมการกำกับดูแลให้ด คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อีกกว่า 20,000 บาท เพื่อจะได้ติดตามเอาเงินที่เล่นหุ้นคืน แต่ก็ไม่มีการทำคดีว่าต่างแก้ต่างให้แต่อย่างใด จึงรู้ตัวว่าถูกหลอกซ้ำเป็นครั้งที่สอง
ด้านทนายความตัวจริงคือนายจักรวัชร์ เปิดเผยว่า เพิ่งทราบจากสภาทนายความว่ามีคนร้ายนำเพจตนไปตัดต่อแล้วไปหลอกชาวบ้านโด มีการลบเลขไอดีต่างๆ และออกใบมอบอำนาจปลอม ส่วนรูปถ่ายใช้รูปของตน แต่ลายมื่อชื่อก็ปลอม เรื่องนี้ตนเองเป็นผู้เสียหาย
นายวิเชียร กล่าวว่า การปลอมใบอนุญาต ใบมอบอำนาจสภาทนายความ คนร้ายทำเพื่อให้น่าเชื่อถือ ทางสภาทนายความเป็นผู้เสียหายเราจะดำเนินถึงที่สุด ในข้อหาปลอมเอกสารสิทธิ ส่วนทนายความที่ถูกแอบอ้างเป็นผู้เสียหายฐานปลอมใช้เอกสารปลอม ขณะที่ร.ต.ท.สราวุธ เสียหายในส่วนฉ้อโกงประชาชนสภาทนายความจะช่วยเหลือติดตามการสอบสวนและพิจารณาคดีในชั้นศาล เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์แก่ประชาชนจะลงทุนอะไรตรวจสอบให้ดีก่อน
วันเดียวกัน น.ส.สุวรรณา นาครินทร์ อายุ 60 ปี ซึ่งมีสิทธิครอบครองในที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ์เนื้อที่ประมาณ 6 ไร่ เศษ บริเวณหมู่ที่ 5 ตำบลหนองบัวโคก อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ เข้าร้องเรียนต่อนายวิเชียร ชุปไธสง นายกสภาทนายความ ว่าเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2564 นาง ร.(นามสมมุติ) อ้างว่าเป็นภรรยาของอัยการซึ่งเป็นอดีตตำรวจ เข้ามาบุกรุกที่ดิน ฝั่งด้านทิศเหนือโดยทำ
เป็นรั้วลวดหนามกั้นยาวประมาณ 300 เมตร ผู้ร้องจึงได้ฟ้องขับไล่ที่ศาลจังหวัดบุรีรัมย์ให้ขับไล่และ ละเมิดเรียกค่าเสียหาย ศาลจังหวัดบุรีรัมย์ได้มีคำพิพากษาให้น.ส.สุวรรณา นาครินทร์ เป็นฝ่ายชนะคดี
เมื่อคดีถึงที่สุดแล้วได้ให้ทนายความตั้งเรื่องบังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปรื้อถอนแนวรั้วที่ผู้ถูกร้องบุกรุกเข้ามาในที่ดิน เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2566
ต่อมาวันที่ 5 มกราคม 2567 เวลากลางวัน นาง ร.คู่กรณี)กับพวกรวม 5 คน ได้
เข้ามาบุกรุกที่ดินปักเสารั้วตามแนวเขตที่มีการรื้อถอนตามหมายบังคับคดีแล้วตนได้
ห้ามปรามแล้วแต่นางสาว ร.(นามสมมุติ) กับพวกรวม 5 คน ไม่หยุดการกระทำดังกล่าว ซึ่งไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง อันเป็นการร่วมกันบุกรุกในที่ดินและทำให้ที่ดิน
ของน.ส.สุวรรณา นาครินทร์ ได้รับความเสียหาย และได้ไปลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานที่สถานีตำรวจ ไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่เนื่องจาก นางร. เป็นผู้มีอิทธิพล ประกอบกับสามีเป็นอัยการ และเป็นอดีตตำรวจในพื้นที่ ตนอยู่กับญาติเพียงสองคนกลัว เกรงว่าจะอันตราย
นายวิเชียร กล่าวว่า คดีนี้ในทางแพ่ง ต้องร้องเข้าไปที่ศาลชั้นต้นที่ออกหมายบังคับคดีว่า มีการละเมิดซ้ำ และจำเลยไม่ปฎิบัติตามคำพิพากษา ให้ศาลออกหมายเรียกมาสอบถามและออกหมายจับตาม ป.วิแพ่งได้ ส่วนทางอาญาจะผิดฐานบุกรุก ทำให้เสียทรัพย์ ซึ่งทางสภาทนายจะสอบถามไปยังพนักงานสอบสวนและพิจารณารับดำเนินคดีต่อไป