อัยการคดีพิเศษสั่งฟ้องผู้ต้องหาฉ้อโกงยักยอกทรัพย์และฟอกเงิน คดีหลอกชาวบ้านลงทุนหุ้นกู้สตาร์ค มูลค่าความเสียหายนับหมื่นล้าน
วันนี้ (12 ม.ค.) ที่สำนักงานอัยการคดีพิเศษ 1
สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.รัชดาภิเษก อัยการคดีพิเศษ 1 นัดฟังคำสั่งในที่พนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) สรุปสำนวนพร้อมความเห็นสมควรสั่งฟ้องนายวนรัชต์ ตั้งคารวคุณ กับพวกรวม 12 ราย ( มี5 รายเป็นนิติบุคคล ) คดีทุจริตในบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 ฐานตกแต่งบัญชีและงบการเงิน และฐานฉ้อโกงประชาชนฯ ข้อหายักยอกทรัพย์และข้อหาฟอกเงิน มูลค่าของความเสียหายนับหมื่นล้านบาท
โดยในวันนี้มีผู้ต้องหาบางส่วนเดินทางมานัดฟังคำสั่งพร้อมทนายความ
เเละมีกลุ่มผู้เสียหายในนาม'กลุ่มรวมพลังหุ้นกู้สตาร์ค' ซึ่งเป็นกลุ่มประชาชนผู้ลงทุนหุ้นกู้สตาร์คส่วนหนึ่งจากทั้งหมด 4,000 กว่ารายที่เสียหายรวมกันกว่า 9,000 ล้านบาท ได้ส่งตัวแทนเข้าพบอัยการสำนักงานคดีพิเศษ 1 เพื่อติดตามความคืบหน้าการดำเนินคดีอาญา
นายวีรพัฒน์ ปริยวงศ์ นักกฎหมายผู้รับมอบอำนาจจากผู้เสียหายกลุ่มรวมพลังหุ้นกู้สตาร์ค เปิดเผยว่า ล่าสุดมีกระแสข่าวว่า อัยการอาจจะสั่งฟ้องให้ผู้ต้องหาเป็นจําเลยบางราย เพราะว่าหลักฐานพอแล้ว แต่บางคนที่อัยการมองว่าอาจจะยังต้องสอบสวนเพิ่มต้องแจ้งกลับไปที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ไปสอบสวนเพิ่มเพิ่ม ก็เป็นสิทธิของทางอัยการ ว่าคดีอาญาถ้าเกิดฟ้องไปแล้วหลักฐานไม่แน่น อาจจะเป็นปัญหา ตรงนี้ทางผู้เสียหาย กลุ่มผู้ถือเป็นกู้สตาร์ท เรากังวลใจมาก เนื่องจากคดีอาญาสําคัญมาก เพราะทางภาคประชาชนจะฟ้องคดีแพ่งด้วย แต่คดีแพ่งประชาชนไม่สามารถเข้าถึงพยานหลักฐานได้เท่าภาครัฐ พราะฉะนั้นเราจึงหวังมากว่าทางอัยการควรจะพยายามฟ้องให้ครบทุกราย ถ้ารายไหนฟ้องไม่ได้โปรดอย่าปล่อยสั่งไม่ฟ้องแต่สืบเพิ่มเพื่อรวบรวมพยานหลักฐานมาแล้วก็นําฟ้องต่อศาล
หลักการทางคดีอาญา การจะฟ้องคดีต้องมีจําเลยมาอย่างที่ทราบว่า นายชนินทร์ หนีไปต่างประเทศ ส่วน นายวนรัชต์ และ น.ส.ยศบวร ซึ่งเป็นบุคคลสําคัญในคดีนี้แต่มีกระแสข่าวมาว่าทางอัยการมองว่าต้องสอบเพิ่มก็อาจจะยังไม่ฟ้องในวันนี้ ซึ่งเราก็ต้องรอฟังตอนนี้ตนตอบไม่ได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากบุคคลสําคัญไม่ได้ถูกฟ้องซึ่งก็จะไม่ถูกพิจารณาในศาลจะส่งผลกระทบต่อเรื่องทางแพ่งที่ทําอยู่ในขณะนี้มากน้อยแค่ไหน นายวีรพัฒน์ กล่าวว่า กระทบแน่นอนเพราะว่าหนึ่งเลยคือ นายวนรัตน์เป็นผู้ที่มีทรัพย์สินมหาศาล และที่สําคัญที่สุดในทางคดีเรามองว่าเขาได้รับประโยชน์จากการขายหุ้นบริษัทสตาร์ทไปทํากําไรตามกระแสข่าวเป็นหลักหมื่นล้าน เพราะฉะนั้นเราก็คงมองว่าหนึ่งเป็นผู้ที่มีทรัพย์สินของเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์เราก็อยากจะให้ถูกสืบสวนสอบสวนโดยพนักงานอัยการอย่างเต็มที่ก่อน คำสั่งว่ายังไม่ฟ้องหมายความว่าอาจจะฟ้องก็ได้แต่ขอสืบสวนเพิ่มเติมก่อนเพราะฉะนั้นก็อยากจะให้รอทางอัยการได้ทําหน้าที่ตรงนี้
เมื่อว่าก่อนหน้านี้นายศรัทธา ได้ส่งหนังสือร้องเรียนมาถึงอัยการขอให้สอบในบางประเด็นที่เขาเห็นว่าไม่ครอบคลุม กรณีนี้จะส่งผลต่อผู้เสียหายหรือไม่ นายวีรพัฒน์ กล่าวว่า เข้าใจว่านายศรัทธาอยู่ในฐานะพิเศษพอสมควร เพราะเป็นผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงในคดีนี้ แต่นายศรัทธาก็ออกมาให้ข้อมูลตั้งแต่เนิ่นๆเลย ออกมาให้สัมภาษณ์สื่อ ดังนั้นในทางทฤษฎีในทางกฎหมายอาญา เขาไม่อยากตกเป็นแพะอาจหมายความว่าเขาไม่ได้ทําเพราะว่าจะกอบโกยผลประโยชน์เอาเข้าตัวเองคนเดียว แต่ก็อาจจะทําเพราะว่าเขารับคําสั่ง เป็นเครื่องมือของใคร นี่เรื่องที่อัยการจะต้องพิจารณาสืบสวนสอบสวนไป
อย่างไรก็ตาม ฝากสื่อมวลชนช่วยให้ข้อมูลไลน์ กลุ่มผู้เสียหายรวมพลังหุ้นกู้สตาร์ค (ไลน์ @ThaiStark) เพื่อให้ผู้เสียหายมีช่องทางติดตามข่าวกัน เนื่องจากหลายท่านยังไม่ทราบ
ต่อมาเวลา12.00 น.เศษมีรายงานว่าพนักงานอัยการคดีพิเศษ1 มีคำสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่เดินทางมาในวันนี้ทั้งหมดเเละอยู่ระหว่างนำตัวไปยื่นฟ้องต่อศาลอาญา
ต่อมาอัยการคดีพิเศษจึงมีคำสั่งและยื่นฟ้อง 7 ผู้ต้องหาประกอบด้วย นายศรัทธา จันทรเศรษฐเลิศ,บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) โดยนายอรรถพล วัชระไพโรจน์ และนายปริญญา จั่นสัญจัย กรรมการผู้มีอำนาจ,บริษัท เฟิลปส์ คอด์จ อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) จำกัด โดยนายอรรถพล วัชระไพโรจน์ กรรมการผู้มีอำนาจ, บริษัท อดิสรสงขลา จำกัด โดยนายอภิชาติ ตั้งเอกจิต กรรมการผู้มีอำนาจ , บริษัท ไทย เคเบิ้ล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด โดยนายอรรถพล วัชระไพโรจน์ กรรมการผู้มีอำนาจ , บริษัท เอเชีย แปซิฟิก ดริลลิ่ง เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด โดยนายกิจจา คล้ายวิมติ และนายอภิชาติ ตั้งเอกจิต, น.ส.นาตยา ปราบเพชร เป็นจำเลยทั้ง 7 ต่อศาลอาญาในความผิดฐานความผิดร่วมกันแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งในแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์หรือร่างหนังสือชี้ชวนที่ยื่นตามมาตรา 65แห่ง พรบ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฯในสาระสำคัญ, มีหน้าที่เปิดเผย
เอกสารต่อผู้ถือหุ้นหรือประชาชนทั่วไปตามที่บัญญัติในหมวด 3/1การบริหารกิจการของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์ แห่ง พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฯ,ร่วมกันแสดง ข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริง ซึ่งควรบอกให้แจ้งในสาระสำคัญ, เป็นนิติบุคคลกรรมการ ผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคล นั้น ต้องรับโทษ
ตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดตามมาตรา 281/1แห่ง พรบ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฯ, เป็นกรรมการหรือผู้บริหารบริษัทกระทำโดยทุจริต ไม่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบ ความระมัดระวัง และความซื่อสัตย์สุจริตแห่ง พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฯ จนเป็นเหตุให้บริษัทได้รับความเสียหายหรือทำให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์จากการผ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว, ในการดำเนินกิจการของบริษัท กรรมการและผู้บริหารต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบ ความระมัดระวัง และความซื่อสัตย์สุจริต รามทั้งต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมาย วัตถุประสงค์ ข้อบังคับของบริษัทและมติคณะกรรมการ ตลอดจนมติที่ประชุมผู้ถือหุ้น ในการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการบริษัทย่อยและผู้บริหารบริษัทย่อยฯ, เป็นกรรมการ ผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลใดตาม พ.ร.บ.นี้ โดยทุจริต ร่วมกันหลอกลวงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จแก่ประชาชน หรือด้วยการปกปิดความจริง ซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่ประชาชนและโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากประชาชนผู้ถูกหลอกลวง หรือบุคคลที่สามหรือทำให้ประชาชนผู้ถูกหลอกลวง หรือบุคคลที่สามทำ ถอน หรือทำลายเอกสารสิทธิ, เป็นกรรมการผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลใด ตาม พรบ.นี้ซึ่งได้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สินของนิติบุคคลดังกล่าวหรือทรัพย์สินที่นิติบุคคลดังกล่าวเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย กระทำผิดหน้าที่ของตนด้วยประการใด ๆ โดยทุจริตจนเป็นเหตุให้เกิดความ เสียหายแก่ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของนิติบุคคลนั้น, เป็นกรรมการ ผู้จัดการ หรือ บุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลใดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ครอบครองทรัพย์ซึ่งเป็นของนิติบุคคลดังกล่าว หรือซึ่งนิติบุคคลดังกล่าวเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย ร่วมกันเบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต, เป็นกรรมการผู้จัดการ หรือบุคคลใด ซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคลใดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฯกระทำการหรือไม่กระทำการเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายเพื่อตนเองหรือผู้อื่นอันเป็นการเสียหายแก่นิติบุคคลนั้น, เป็นกรรมการผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลใดกระทำหรือยินยอมให้กระทำการ 1.ทำให้เสียหาย ทำลาย เปลี่ยนแปลง ตัดทอน หรือปลอมบัญชีเอกสาร หรือหลักประกันของนิติบุคคลดังกล่าว 2.ลงข้อความเท็จหรือไม่ลงข้อความสำคัญในบัญชีหรือเอกสารของนิติบุคคลหรือที่เกี่ยวกับนิติบุคคลนั้น 3.ทำบัญชีไม่ครบถ้วน ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นปัจจบันหรือไม่ตรงต่อความเป็นจริง ถ้ากระทำหรือยินยอมให้กระทำเพื่อลวงให้นิติบุคคลดังกล่าวหรือผู้ถือหุ้นขาดประโยชน์อันควรได้ หรือลวงบุคคลใดๆ กระทำการด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่กรรมการ ผู้จัดการหรือบุคคลซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลใด กระทำความผิดตามมาตรา278,306 ถึงมาตรา 312แห่ง พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่ว่าก่อนหรือขณะกระทำความผิด, ร่วมกันโดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชน หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่ประชาชน และโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม, ร่วมกันยักยอก, เป็นผู้ได้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สินของผู้อื่นหรือทรัพย์สินซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยกระทำผิดหน้าที่ของตนด้วยประการใด ๆ โดยทุจริต จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของผู้อื่นนั้น, สมคบกันฟอกเงินและร่วมกันฟอกเงิน, เป็นผู้สนับสนุนโดยกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อนหรือขณะกระทำความผิด
เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฯ,พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินฯ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83,86,91,343,352,353 ขอศาลได้พิจารณาพิพากษาลงโทษจำเลยตามกฎหมาย และขอศาลได้สั่งให้จำเลยทั้ง 7 ร่วมกันคืนเงินที่ฉ้อโกงไปจำนวนกว่า 14,778 ล้านบาทที่ยังไม่ใด้คืนให้แก่ผู้ถือหุ้น 4,692 ราย และผู้ลงทุนสถาบันจำนวน 12 ราย ผู้เสียหาย, ให้จำเลยที่ 1 ร่วมกันคืนเงินที่ยักยอกไปจำนวน 741,172,250 บาท ที่ยังไม่ได้คืนให้แก่บริษัท สตาร์คฯ ปรับจำเลยที่1,2 เป็นเงินสองเท่าของราคาขายของหลักทวัพย์ทั้งหมดที่จำเลยที่ 1,2ได้เสนอขายโดยไม่น้อยกว่าห้าแสนบาท ปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงินสองเท่าของค่าเสียหายที่เกิดขึ้นหรือประโยชน์ที่ได้รับโดยไม่ต่ำกว่าหนึ่งล้านบาท
ภายหลังศาลประทับรับฟ้องเป็นคดีหมายเลขดำที่ อ.90/2567 ขณะนี้อยู่ระหว่างสอบคำให้การเเละยื่นประกัน ซึ่งผู้ต้องทั้ง 7 คน ให้การปฏิเสธต่อสู้คดี ศาลจึงนัดพร้อมคู่ความเพื่อตรวจพยานหลักฐานวันที่ 10 มิ.ย.นี้ เวลา 13.30 น.
ต่อมาญาติของนายศรัทธา จำเลยที่1 ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ จำนวน 10 ล้านบาท
ส่วนน.ส.นาตยาจำเลยที่ 7 ญาติได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ จำนวน 5 แสนบาทขอปล่อยชั่วคราวระหว่างการพิจารณา
ศาลพิเคราะห์พฤติการณ์ และความหนักเบาแห่งคดีแล้วเห็นว่า คดีมีอัตราโทษสูง มีผู้เสียหายจำนวนมาก มูลค่าความเสียหายสูงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจชาติ หากปล่อยชั่วคราวเกรงว่า จำเลยทั้งสองจะหลบหนี ในชั้นนี้จึงไม่อนุญาตปล่อยชั่วคราว ยกคำร้อง
ต่อมาเจ้าหน้าที่นำตัวจำเลยทั้งสองไปคุมขังไว้ที่ เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และทัณฑสถานหญิงกลาง
ภายหลังนายวีรพัฒน์ ปริยวงศ์ นักกฎหมายผู้รับมอบอำนาจจากผู้เสียหาย กล่าวว่า อัยการได้สั่งฟ้องผู้ต้องหาเป็นจำเลยในคดีอาญาทั้งหมด 7 ราย นายศรัทธา ผู้บริหารฝ่ายการเงิน กับพวก
ในส่วนของคนที่ยังไม่ได้สั่งฟ้องวันนี้มี 4 ราย รายแรก นายวนรัชต์ ตั้งคารวคุณ เเละ น.ส.ยสบวร อำมฤตซึ่ง 2 คนนี้มีบทบาทสำคัญในคดี แต่อัยการบอกว่ายังไม่ฟ้องเพราะยังต้องสอบสวนเพิ่ม แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ฟ้องและทางอัยการส่งสัญญาณว่าน่าจะฟ้องด้วยแต่ขอสอบสวนพยานโดยสั่งให้พนักงานสอบสวนดีเอสไอสอบเพิ่ม ส่วนอีก 2 รายที่ไม่ฟ้องในวันนี้คือนายชนินทร์ เย็นสุดใจซึ่งหลบหนีไปแล้ว ก็หวังว่าสื่อมวลชนช่วยติดตามว่าทางอัยการ กระทรวงการต่างประเทศและตำรวจไทยได้ประสานไปยังป่ะเทศต่างๆเเล้วหรือไม่เพราะประชาชนร้อนใจอยากจะรู้ว่าจับกุมตัวได้หรือไม่ เเละอีก1 คนคือ นายกิตติศักดิ์ จิตต์ประเสริฐงาม ที่เป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด โดยอ้างว่าป่วย ซึ่งนายกิตติศักดิ์ เป็นคนทั่รู้เรื่องยอดขาย ยอดโอนไปจ่ายคนไหนถือเป็นบุคคลสำคัญ เเต่วันนี้อัยการท่านคงยังไม่ถึงขั้นขอให้ศาลออกหมายจับแต่ก็คงให้พนักงานสอบสวนติดตามมา หากติดต่อไม่ได้หรือหายตัวทางเจ้าหน้าที่ก็อาจจะดำเนินการในการตามจับกุมเช่นกัน
อย่างน้อยที่สุดวันนี้ต้องขอบคุณทางอัยการสำนักงานคดีพิเศษที่พยามทำสำนวน ซึ่งใครก็ตามที่ยังไม่ฟ้องขอให้ทำสำนวนและรีบฟ้องหากพยานหลักฐานพร้อมแล้วตนเข้าใจว่าทางอัยการและพนักงานสอบสวนก็เล็งเห็น ส่ายังมีบุคคลอื่นๆที่ยังไม่ปรากฏชื่อ เช่นที่ปรึกษาด้านการบัญชี สำนักงานบัญชี ผู้เซ็นงบการเงิน คนเหล่านี้ควรจะต้องได้รับการตรวจสอบโดยศาล ด้วยก็หวังว่าจะมีการยื่นแจ้งข้อกล่าวหาและยื่นฟ้องบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานกรณีที่มีไม่ปรากฎชื่อนายชินวัตร อัศวโภคี จากการตรวจสอบพบว่าวันนี้ทางพนักงานอัยการคดีพิเศษมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องตามความเห็นของพนักงานสอบสวนดีเอสไอ เนื่องจากพยานหลักฐานไม่ถึง
สำหรับรายชื่อผู้ต้องหาที่กรมสอบสวนคดีพิเศษส่งมายังพนักงานอัยการมีผู้ต้องหาทั้งหมด 12 คนประกอบด้วย 1. นายชนินทร์ เย็นสุดใจ ซึ่งได้หลบหนีและศาลมีหมายจับ 2.นายวนรัชต์ ตั้งคารวคุณ 3.นายชินวัฒน์ อัศวโภคี 4.นายศรัทธา จันทรเศรษฐเลิศ 5.นายกิตติศักดิ์ จิตต์ประเสริฐงาม 6.
บมจ.สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น 7.บริษัท เฟ้ลปส์ ดอด์จ อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) จำกัด 8.บริษัท อดิสรสงขลา จำกัด 9.บริษัท ไทยเคเบิ้ล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด 10.บริษัท เอเชียแปซิฟิก ดริลลิ่ง เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด 11.นางสาวยสบวร อำมฤต เเละ 12.น.ส.นาตยา ปราบเพชร