xs
xsm
sm
md
lg

“ทนายอนันต์ชัย” เปิดตัวรับว่าความ “บิ๊กโจ๊ก” เชื่อโดนกลั่นแกล้งแน่นอน มั่นใจเอาอยู่ ลั่นเปลี่ยน “โจ๊กหวานเจี๊ยบ” เป็น “โจ๊กอัคนี” เผาหลาญทุกสิ่ง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม



“ทนายอนันต์ชัย” เดินทางมาสโมสรตำรวจแถลงเปิดตัว รับหน้าที่เป็นทนายความให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กรณีถูกบุกค้นบ้านพัก ย่านวิภาวดีรังสิต 60



วันนี้ (27 ก.ย.) ที่ สโมสรตำรวจ นายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความ เดินทางมาเพื่อแถลงเปิดตัวเป็นทนายความให้กับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. กรณีถูกบุกค้นบ้านพักย่านวิภาวดีรังสิต 60 โดยระบุว่า การทำคดีจะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ คดี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ 1 ทีม และทีมผู้ใต้บังคับบัญชาของพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ อีก 1 ทีม รวมถึงการให้สัมภาษณ์สื่อของบุคคลบางคน และการนำเสนอข่าวสื่อบางสำนัก ถ้าพาดพิงจะดำเนินคดีทุกคดี เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง

เบื้องต้นก็ได้พูดคุยกันในทีมทนายเเล้ว ว่าแล้วหลังจากนี้การให้สัมภาษณ์ใดๆก็ตาม จะต้องผ่านทีมทนายความเท่านั้น เพื่อรักษาภาพลักษณ์ เเล้วไปสู้กันในศาล

นอกจากนี้ตนตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใด เหตุการณ์นี้ต้องมาเกิดก่อนที่จะมีการเลือกผู้บัญชาการตำรวจเเห่งชาติคนใหม่ ซึ่งตนเชื่อว่า ประชาชนหรือแม้กระทั่งเด็กอนุบาลก็น่าจะมองออกว่า ปฏิบัติการค้นบ้านมีเจตนาอะไร และการออกหมายค้นก็มองว่าไม่ปกติ เพราะท่านมีตำแหน่งเป็นถึงรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

นอกจากนี้การเอาหน่วยคอมมานโดบุกไปที่บ้านเป็นเรื่องที่ไม่สมควร และตนไม่เชื่อว่าตำรวจที่ไปค้นบ้าน จะไม่รู้ว่าเป็นบ้านของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ดังนั้นการกระทำดังกล่าวถือว่าเป็นการกลั่นเเกล้ง ดิสเครดิตอย่างเเน่นอน หน้าที่ของตนคือจะต้องทำความจริงให้ปรากฏ ทั้งต่อศาลและสาธารณชน

นานอนันต์ชัย กล่าวอีกว่า วันนี้เรื่องเก่าของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ผมไม่เกี่ยว แต่เรื่องนี้ท่านถูกรังแก จึงต้องทำความจริงให้ปรากฏ ถ้าอึมครึมอยู่ ชื่อเสียงเกียรติยศป่นปี้หมด และในฐานะที่เป็นทนายความ ถือเป็นเหรียญสองด้าน ทั้งโจทย์และจำเลย หน้าที่ของทนายความคือทำความจริงให้ปรากฏต่อศาลและต่อสาธารณชน

ส่วนเรื่องที่มีภาพ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ปรากฏร่วมกับมินนี่ เจ้าของเว็บพนันออนไลน์ แล้วถูกนำมาโยงกันนั้น นายอนันต์ชัย กล่าวว่า การเป็นบุคคลสาธารณะ เวลาจะเดินทางไปที่ไหนย่อมมีคนมาขอถ่ายรูปเป็นปกติอยู่แล้ว ซึ่งคนที่มาขอถ่ายรูป หรือร่วมเฟรมภาพ อาจจะมีทั้งคนดีรวมไปถึงคนที่ทำผิดกฎหมายปะปนกันไป ดังนั้นการที่ถ่ายรูปกับคนที่กระทำผิดกฎหมายก็ไม่ได้หมายความว่าบุคคลผู้นั้นจะมีความผิดไปด้วย เพราะการกระทำความผิดจะต้องดูที่เจตนาไม่ใช่การถ่ายรูป

การที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ไปร้องเพลง ไปถ่ายรูป รวมถึงที่มีดาราไปถ่ายรูป แล้วจะชั่วไปด้วยมันไม่ใช่ อย่าไปคิดอย่างนั้น เพราะคดีอาญาให้ดูที่เจตนา ว่ากระทำความผิดจริงหรือไม่ ตามมาตรา 59 ไม่ใช่ดูที่การถ่ายรูป

นอกจากนี้อย่าขอเอาเรื่องของลูกน้อง ที่กระทำผิดมารวมกับผู้บังคับบัญชา เพราะการที่ลูกน้องทำผิดไม่ได้หมายความว่าผู้บังคับบัญชาจะทำผิดด้วย เพราะเรื่องเส้นทางการเมืองทั้งหมดนั้นตนเองทราบหมดแล้ว แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม และเรื่องนี้ตนเองจะไม่ให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ พูดอีกแล้ว โดยทนายความจะเป็นผู้พูดแทน

ทนายอนันต์ชัย กล่าวย้ำความมั่นใจว่า ไม่ต้องกลัว งานนี้ผมเอาอยู่ และจะขอเปลี่ยนฉายาให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ใหม่ “โจ๊กหวานเจี๊ยบ” เป็น “โจ๊กอัคนี” สื่อถึงเปลวเพลิงที่เผาทุกสิ่งทุกอย่าง เเละมีความเเข็งเเกร่ง

ส่วนกรณีการเช็คบิล ตนเองจะมีการตั้งวอร์รูม ทีมทนายความขึ้นมา และดูการให้สัมภาษณ์ของแต่ละบุคคลผ่านสื่อ รวมถึงดูประเด็นต่างๆ ทั้งระบบ หากพบว่าใครที่พาดพิง ก็จะมาพิจารณาว่าจะฟ้องร้องดำเนินคดีหรือไม่

ด้านพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุด้วยว่า ได้มอบหมายให้นายอนันต์ชัย ไปยื่นคำร้องที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนทางละเมิดกรณีการขอหมายจับของชุดจับกุม เนื่องจากการขอหมายจับตำรวจ ในฐานะตำรวจต้องไปขอที่ศาลอาญาฯ ทุจริตเท่านั้น แต่ไปขอที่ศาลนี้มีขั้นตอนละเอียดต้องแจ้งยศ และศาลจะให้ออกหมายจับให้แต่จะออกหมายเรียก แต่ถ้ามีพลเรือนอยู่ด้วยจะต้องไปขอที่ศาลอาญาฯทุจริต เพราะพลเรือนเป็นผู้ให้การสนับสนุน

แต่มีการหมกเม็ดมาออกที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ การที่ไปออกเพื่อให้แยกดำเนินคดี กับเจ้าหน้าที่รัฐที่ทำผิด และเมื่อไม่ใส่ยศ ก็สอดไส้ใส่กับพลเรือน เป็นการหลอกศาลอาญากรุงเทพใต้ไม่พอ และออกหมายศาลอาญารัชดาฯ

ส่วนประเด็นเฮียแต๋มที่เป็นเจ้าของบ้านนั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ต้องบอกว่าเฮียแต๋ม กับครอบครัวรู้จักกันมาตั้งแต่ยังเป็นสารวัตร แม้จะไม่ใช่ญาติแบบความสัมพันธ์ แต่ก็นับถือกันเป็นญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง เมื่อก่อนผมอยู่แฟลตตำรวจที่วิภาวดี ตั้งแต่ยังเป็นยศ ร.ต.ท. จนถึงเป็นผู้การ 191 จากนั้นจึงจะย้ายไปอยู่บ้าน แต่สร้างบ้านไม่ทัน เพราะพ่อตายกที่ดินให้ภรรยา 10 ไร่ ที่พุทธมณฑล สาย 7 แต่การสร้างบ้านมีขั้นตอนมาก และด้วยความที่งานเยอะ จึงยังไม่ได้ทำ จะไปซื้อบ้านก็เสียดายเงิน จึงไปหาเช่าบ้าน โดยได้ถามเฮียแต๋ม จึงรู้ว่า มีบ้านอยู่ในซอยวิภาวดี 60 จึงขอเช่า จำนวน 2 หลัง เป็นเงิน 50,000 บาท ส่วนค่าน้ำค่าไฟจ่ายเอง

ส่วนอีก 3 หลังก็เหมือนเฝ้าให้เฮียแต๋ม โดยใช้เป็นที่เก็บของ 2 หลัง ไม่ได้ไปอยู่ ส่วนลูกน้องเวลาที่มารับตนก็จะไปนั่งพักที่นั่น แต่ไม่มีใครนอน ขณะที่อีกหลังหนึ่งก็ว่างไว้ แต่บังเอิญว่าพ่อของตนป่วยหนัก จึงขอให้พ่อมาอยู่ใกล้ ๆ และจ้างพยาบาลมาดูแล เมื่อพ่อเสียชีวิตบ้านหลังนี้จึงไม่มีใครอยู่ สรุปแล้วตนเองอยู่บ้านเพียง 2 หลัง และหากบ้านของผมสร้างเสร็จเมื่อไหร่ก็จะย้ายไปอยู่ เพราะที่นี่แคบ

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวอีกว่า เรื่องหมายจับเป็นเรื่องใหญ่ อาจทำให้มีประเด็นอื่นๆ ตามมา ซึ่งอาจจะมีกรรมการสิทธิมนุษยชน ออกมาตั้งคำถามว่าอำนาจสอบสวนควรจะอยู่กับตำรวจหรือไม่ หรือไม่ก็อาจจะมีประเด็นว่าตำรวจไม่มีอำนาจสอบสวน ทุกครั้งที่ผมจับตำรวจ เวลาไปขอหมายจับจะต้องใส่ยศทุกครั้ง ซึ่ง 80% ศาลให้ออกหมายเรียก

ส่วนประเด็นการจ่ายเงินให้กับนักข่าว 4 คนนั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยืนยันว่า ไม่ได้เป็นการติดสินบน แต่เป็นน้ำใจส่วนตัวที่มอบให้กับสื่อมวลชน เพื่อช่วยเป็นค่าอาหาร เป็นเงินประมาณ 10,000 บาทต่อจำนวน 4-5 วัน ซึ่งไม่ได้มาก และทุกครั้งที่ตนให้ เขาก็บอกว่าทางช่องให้แล้ว พวกนี้เขาไม่เคยมาขอเงินตนเลย แต่ตนเลี้ยงอาหารกลางวัน นักข่าวที่มาทำข่าวที่สโมสรตำรวจ มีลูกน้องที่ต้องเลี้ยงอาหารกลางวัน วันละ 200 กล่อง ตกเดือนละ 250,000 บาท ซึ่งเป็นเงินถูกกฎหมาย เป็นเงินส่วนตัวของตน

ดังนั้นนักข่าวมาตนเลี้ยงหมด ตนเบิกหลวงไม่ได้ เพราะมีงบจำกัด ถ้าอยากให้ประสิทธิภาพมันดี ตนก็อำนวยความสะดวกแก่คณะทำงาน และคนที่ไว้วางใจเข้ามาร้องทุกข์ ตนไม่ได้เข้า ตร. เพราะมันแน่น ที่จอดรถก็ไม่มี อีกทั้งยังไม่ได้คุยกับนักข่าวที่จะโดนหมายจับเลย ทั้ง 4 ราย พร้อมยืนยันว่ามันไม่ใช่สินบน เงินที่ซื้อข้าวก็ไม่ใช่เงินจากเว็บพนัน


กำลังโหลดความคิดเห็น