(Police Focus)
ชุดสืบสวน กก.4 บก.ป.ร่วมกับชุดหนุมานกองปราบ นำกำลังเข้าตรวจค้นเป้าหมาย 12 จังหวัด ประกอบด้วย จ.ตาก จ.สุโขทัย จ.กำแพงเพชร จ.พิษณุโลก จ.ภูเก็ต จ.อุบลราชธานี จ.กาญจนบุรี จ.ราชบุรี จ.ชลบุรี จ.สมุทรปราการ จ.นนทบุรี และ กรุงเทพฯ ทลาย แก๊งหลอกดาวน์รถยนต์ป้ายแดงส่งข้ามชายแดน อ.แม่สอด จ.ตาก เพื่อขายต่อให้นายทุนฝั่งประเทศเพื่อนบ้านถูกกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ จับกุม เจ๊รัตน์ กับ เฮียตี๋ นายทุน 2 เครือข่ายใหญ่ พร้อมผู้ร่วมขบวนการรวม 21 คน ยึดรถ 8 คัน
ว่าที่ พ.ต.อ.เอกสิทธิ์ ปานสีทา ผกก.4 กล่าวว่า มีการจัดหานายหน้า หรือโฆษณาผ่านเฟซบุ๊กเชิญชวนชาวบ้าน ถ้าอยากได้เงินจะจ้างไปติดต่อดาวน์รถตามศูนย์ต่างๆ โดยออกค่าจองและเงินดาวน์ให้ส่วนใหญ่เป็นกระบะ 4 ประตูยกสูง พอจองเสร็จไฟแนนซ์อนุมัติถึงวันรับรถ นายทุนจะจัดคนรับจ้างขับรถไปรับรถถึงศูนย์แล้วส่งขาย สมมติรถราคา 1 ล้าน ค่าจ้าง 5 แสน อยู่ที่ชาวบ้านไปวางเงินเท่าไรแต่ต้อง รับผิดชอบผ่อนค่างวดทุกเดือนจนหมด ผ่อนหมด หรือไม่หมดยังไงก็ ขาดทุน อย่างน้อย 5 แสน
ตนเชื่อว่า ชาวบ้านเขารู้ต้องรับภาระในการผ่อนต่อ ด้วยความเดือนร้อนจำเป็นใช้เงินจึงยอมรับสภาพตรงนี้ ซึ่งเข้าข่ายความผิด ฉ้อโกง ใจจริงก็สงสารบางคนหาทางออกไม่ได้ ส่วนใหญ่ผ่อนแค่ 1-3 งวด บางคนดาวน์ 3 คัน ไฟแนนซ์ก็ไล่ตามเมื่อเกิดขึ้นบ่อยขาดทุนมีหนี้เสียเยอะ ไปกู้ธนาคารสุดท้ายส่งผลเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจ เป็นนโยบาลของ ผบ.ตร.และ ผบช.ก.สั่งการให้ บก.ป.สืบสวนคดีที่เกิดในพื้นที่ที่สร้างความเสียหายให้กับประชาชนและระบบเศรษฐกิจ
อยู่ระหว่างติดตามจับกุมอีก 2 คน เป็นคนรับจ้างดาวน์ และคนรับจ้างขับรถ คนกลุ่มนี้ติดต่อผ่านนายหน้าเท่านั้น นายหน้าได้ส่วนแบ่ง 10 เปอร์เซ็นต์ จากค่าจ้างดาวน์ กรณีนายหน้าเป็นคนของนายทุนจะร่วมลงทุนด้วยได้ส่วนแบ่งหลังจากส่งขายแล้ว นอกจากนี้ ยังว่าจ้างดาวน์รถจักรยานยนต์ใหม่ นำรถที่หลุดจำนำ หรือติดต่อเช่ารถใหม่ตามเต็นท์ต่างๆ เชิดหนีข้ามแดน สร้างความเสียหายให้กับผู้ประกอบการ และเจ้าของรถเช่าเป็นอย่างมาก เครือข่ายดังกล่าวมีเงินหมุนเวียนหลายสิบล้าน
สำหรับเส้นทางรับราชการ ผกก.เอก หรือ จืด จบ นรต.รุ่น 58 เริ่มลงพนักงานสอบสวนโรงพักใน จ.นครสวรรค์ โยกไป สว.สืบภาค 6 สว.สืบ ตม.ข้ามมา รอง ผกก.4 กองปราบ กระทั่งขึ้น ผกก.เมื่อเดือน ก.พ. 66 รับผิดชอบพื้นที่ บช.ภ.5 และ 6 คุ้นเคยกับพื้นที่ภาคเหนือเป็นอย่างดี เป็นนักสืบอยู่ตรงนั้นมานานเหมือนอยู่บ้าน จึงได้รับความไว้ใจให้ช่วย จับโจร ช่วงคำสั่งออกถึงกับนอนไม่หลับวิตกกังวล จะทำได้ดีอย่างที่ผู้บังคับบัญชาคาดหวังหรือไม่ เพราะที่นี่เป็นหน่วยที่มีศักยภาพสูง งานหนัก เฉพาะทาง
ผกก.ภาคเหนือ กล่าวว่า กก.4 รับผิดชอบ 17 จังหวัด กำลังพลไม่เยอะมากประมาณ 100 นาย ภารกิจเยอะพอสมควรตนมีหน้าที่บริหารจัดการกำลังพล คอยให้กำลังใจอดทนฝ่าฟันไปด้วยกัน สภาพพื้นที่ค่อนข้างห่างไกลมีคดีกว่าจะไปถึงใช้เวลา พยายามดึงตำรวจในพื้นที่อย่างแรกมี คุณธรรม จริยธรรม เป็นตำรวจที่ดี มีความสามารถด้านสืบสวน ขยัน มีภูมิลำเนาในจังหวัดนั้นๆ โดยชุดปฏิบัติการแต่ละชุดไม่มีโอกาสสัมผัสกันตนจัดกิจกรรม ฝึกร่วมกันเพื่อให้เกิดความคุ้นเคยในหน่วยงาน
สิ่งแรกที่พยายามผลักดันผู้ใต้บังคับบัญชา คือ เข้าไปสนับสนุนโรงพักพื้นที่การสืบสวนต้องใช้เทคโนโลยีต่างๆ อาจเกินศักยภาพของเขาจะช่วยคลี่คลายคดีเร็วขึ้น ผลสุดท้ายประชาชนประทับใจเกิดความศรัทธาต่อองค์กรตำรวจ เคยอยู่โรงพักมาก่อนเข้าใจอารมณ์ เวลาส่วนกลางเข้าไป โรงพักสงสัยว่ามาทำไม กลั่นแกล้งหรือเปล่า เป็นนโยบายเลยว่าทำให้เขารู้สึกสบายใจ รู้ว่าเราไปช่วยแก้ปัญหา เป็นคู่คิดให้ จึงแสวงหาความร่วมมือให้มากเพื่อเรื่องการข่าวและความสามัคคี
นอกจากนี้ อยากพัฒนานักสืบรุ่นใหม่ให้เป็นตำรวจมืออาชีพ นักสืบแต่ละคนมีความถนัดในแต่ละแบบ เช่น สืบสวนภาคพื้นดิน การซักพยาน เทคนิค วิเคราะห์ข้อมูล เส้นทางการเงิน ตนให้ทุกคนมีโอกาสได้ทำงานและสัมผัสงานหลากหลายแบบ เพื่อเป็นประสบการณ์ให้กับตัวเขา สมัยก่อนนักสืบชอบกั๊กความรู้หวงวิชาไม่อยากให้เด็กรู้ อยากบอกไว้ว่า เป็นคนเดียวก็เหนื่อยคนเดียว คดีเยอะๆ ก็ทำไม่ไหว ฉะนั้นให้เก่งหลายๆ คนดีกว่า สำหรับตนใครมาถามถ้ารู้อันไหนเต็มใจสอนหมด
“ผมเตะบอลมา 10 ปี สอนน้องเตะบอล ต่อให้น้องเก่งขนาดไหน เทคนิคประสบการณ์เรานำไป 10 ปี ยังไงไม่ทันเราหรอก ขณะเดียวกันในปัจจุบันมีเทคนิคใหม่ๆ บางทีเราไม่รู้ เด็กเขารู้ สร้างเด็กดีกว่าถึงเวลาเราก็แก่เกษียณ แต่เด็กอยู่ทำงานสืบสวนคลี่คลายคดี ช่วยประชาชนอีกนาน”นักสืบวัย 40 ปี เผยมุมมอง
หัวเรือกอง 4อธิบายถึงการทำงาน ว่า ตนชอบออกหน้างานเพราะได้เห็นด้วยตาตัวเองไม่ต้องไปจินตนาการ อย่างที่อาจารย์นักสืบรุ่นเก่าๆ สอน เป็นนักสืบต้องไปดูที่เกิดเหตุ แม้พื้นที่ห่างไกลก็ตาม ที่สำคัญงานจะสำเร็จได้นั้น 1. มีทีมที่ดีเกิดจากความเชื่อมั่นของผู้ใต้บังคับบัญชา การสนับสนุนจากผู้บังคับบัญชา 2. ทุกคนเหมือนถอดยศแสดงความคิดเห็นได้เหมือนกัน เราไม่ได้เก่งคนเดียวลงเรือลำเดียวกันต้องช่วยกัน ส่วนนักสืบที่ดีในความคิดของตน ฉลาด ขยัน มีคุณธรรม
“ชอบงานสืบเพราะเคสไหนสืบด้วยตัวเองแล้วทำสำเร็จ รู้สึกสะใจ มึง (คนร้าย) หนีกูไม่รอดหรอก ผมมีความสุขเมื่อจับคนร้าย หลายๆ ครั้งผู้เสียหาย หรือครอบครัวผู้เสียหาย มานั่งพูดคุยร้องไห้กอดขอบคุณเรา รู้สึกนี้แหละ สิ่งที่ชาวบ้านต้องการจากตำรวจ ผมพยายามสร้างให้น้องๆ นักสืบ ได้สืบสานอารมณ์นี้ แล้วเขาจะภูมิใจเวลาทำคดีสำเร็จ เป็นความประทับใจในอาชีพตำรวจของผม” พ.ต.อ.เอกสิทธิ์ กล่าวทิ้งท้าย.