พิษณุโลก - ผู้ประกอบการรถเช่าแห่ร้อง ทภ.3..หลังโดนแก๊งมิจฉาชีพล็อกเป้าหลอกเช่า “โตโยต้า-Alphard ป้ายแดง” ราคาคันละ 3-5 ล้านอัป ก่อนตัด GPS ส่งขายฝั่งเมียนมาผ่านชายแดนแม่สอด บางรายตามเอง เจอรถแล้วโดนรีดค่าไถ่คืนคันละเป็นล้าน
วันนี้ (7 ก.ค. 66) กลุ่มผู้ประกอบธุรกิจให้เช่ารถส่วนบุคคลเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 3 ราย ได้พากันเข้าร้องเรียนต่อ พล.ต.ประสาน แสงศิริรักษ์ รองแม่ทัพภาคที่ 3 ที่กองบัญชาการกองทัพ ทภ.3 ค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อ.เมือง จ.พิษณุโลก ว่าเดือดร้อน และได้รับความเสียหายจากกลุ่มมิจฉาชีพที่ทำงานกันอย่างเป็นขบวนการ ทำทีติดต่อขอเช่ารถก่อนนำไปขายฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน
ผู้เสียหายระบุว่า ขบวนการมิจฉาชีพดังกล่าวจะเลือกขอเช่ารถยนต์โตโยต้า รุ่น Alphard ใหม่ป้ายแดง ซึ่งมีราคาแพง จากนั้นจะขับข้ามไปขายยังฝั่งประเทศเพื่อนบ้านคือ เมียนมา ผ่านทางชายแดน อ.แม่สอด จ.ตาก บางรายตามได้ทัน แต่ก็ถูกเรียกค่าไถ่รถคันละ 1.3-1.6 ล้านบาท สุดท้ายต้องยอมจ่ายค่าไถ่มูลค่านับล้านบาทเพื่อขอรถคืน แต่อีกหลายคันยังอยู่ฝั่งเมียนมา จึงขอให้กองทัพภาคที่ 3 ช่วยเหลือเพื่อให้ได้รถกลับคืน
นายฆนากร เชียงรัมย์ หนึ่งในผู้ประกอบธุรกิจให้เช่ารถ กล่าวว่า พฤติกรรมของคนร้าย เหมือนผู้เช่ารถทั่วไป ไม่มีพฤติกรรมสุ่มเสี่ยงใดๆ ทำทีเลือกแบบเจาะจงเช่ารถ Alphard แม้ว่ารถมีระบบป้องกันความปลอดภัยอยู่แล้ว คือฝัง GPS ในรถหลายตัวแล้วก็ตาม
แต่สุดท้ายพวกมิจฉาชีพก็ตัด หรือใช้เครื่องรบกวน ทำให้สัญญาณ GPS หาย ไม่สามารถติดตามรถได้ นอกจากนี้ยังถูกเปลี่ยนป้ายทะเบียนรถใหม่ เพื่อความสะดวก ป้องกันการติดตามรถจากกล้องวงจรปิดตามเส้นทางอีกด้วย กว่าจะรู้อีกที รถก็ไปปรากฏที่ อ.แม่สอด จ.ตาก และข้ามฝั่งไปจอดในฝั่งเมียนมาแล้ว
น.ส.ศรัณยภัคร สุภัชชามนัสนันท์ เจ้าของบริษัท NGL เมอร์เซเดสเรนทรัลคาร์ล จำกัด กล่าวว่า ตนมีรถให้เช่ากว่า 10 คัน รถที่ถูกโจรกรรมไปเป็นรถยนต์โตโยต้า รุ่น Alphard สีขาว ซึ่งได้ติดตาม GPS ไปจนถึงชายแดนแม่สอด ประสานแจ้งเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจไปดูแล้วไม่เจอ
แต่เราพยายามหารายละเอียดทุกอย่าง แม้ข้ามไปฝั่งพม่าเองเพื่อดูรถก็ทำ จนมั่นใจว่ารถจอดอยู่ในบ้านหลังนี้แน่ จึงข้ามไปฝั่งพม่าเพียง 15 นาทีก็เจอรถเลย โดยมีการเจรจาขอไถ่รถคืน ฝั่งโน้นยื่นข้อเสนอไถ่รถคืนในราคา 1,040,000 บาท เขาให้เวลาตนหาเงิน 3 วัน พอครบกำหนดนัด เขามายืนรอที่ท่าข้าม แต่เงินเราไม่พอ ก็เจรจาอีกรอบ-ขอหาเงินเพิ่มอีก 5 วัน จนหาเงินมาไถ่รถกลับคืนได้ในราคา 1,030,000 บาท
เมื่อรับรถกลับคืนมาแล้ว ตรวจเช็กรถพบว่ามีการเปลี่ยนป้ายทะเบียน สภาพรถเต็มไปด้วยขี้โคลน จากนั้นได้นำรถไปแจ้งความที่ สภ.แม่สอด ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบดูมีสิ่งผิดกฎหมายภายในรถซุกซ่อนไว้หรือไม่ ก่อนนำรถที่ไม่มีแผ่นป้ายทะเบียนกลับกรุงเทพฯ ซึ่งต้องผ่านด่านทหาร 4 ด่านถูกเรียกทุกด่าน จึงนำเอกสารแจ้งให้เขาดูว่าตนนำรถถูกโจรกรรมกลับคืน
นางสาวชลธิชา ชัยชิต บริษัท ลุกซ์ คาร์ เร้นท์ จำกัด กล่าวว่า รถของตนที่ถูกโจรกรรมไปนั้นก็เป็นรถ Toyota รุ่น Alphard สีขาว เช่นกัน มีการเรียกร้องค่าไถ่รถคืน ครั้งแรกที่ตั้งไว้ 1 ล้านบาท แต่หลังจากตนไม่นำเงินไปไถ่คืนตามนัด กลุ่มมิจฉาชีพได้เพิ่มค่าไถ่สูงขึ้นเป็น 1,300,000 บาท และล่าสุดขยับเป็น 1,500,000 บาทแล้ว โดยนำรถไปเป็นของประกัน
“ขบวนการโจรกรรมทั้งหมดคาดว่าเป็นฝีมือคนไทยนำไปขาย 3-4 แสนบาทแล้วมาเรียกค่าไถ่ ซึ่งมาถึงตอนนี้รถถูกถอด GPS ออกหมด ก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะนำรถไปขายต่อหรือไม่ ไม่ทราบชะตากรรม แต่เชื่อว่ารถยังอยู่ที่ฝั่งเมียนมา”
นางสาวชลธิชาบอกว่า อยากเรียกร้องขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบเวลารถออกนอกราชอาณาจักรว่าเป็นรถติดไฟแนนซ์อยู่หรือเปล่า ตรวจชื่อผู้ครอบครอง ตรงกับคนขับหรือไม่ สุดท้ายคือ ต้องมีกล้องวงจรปิดที่เปิดใช้งานจริงๆ ทุกพื้นที่เพื่อป้องกันมิจฉาชีพ
ด้าน พล.ต.ประสาน แสงศิริรักษ์ รองแม่ทัพภาคที่ 3 กล่าวว่า กองทัพภาคที่ 3 รับเรื่องไว้ตรวจสอบข้อเท็จจริง พร้อมเข้มงวดกวดขันการนำรถยนต์ รถจักรยานยนต์ ข้ามฝั่งเมียนมา ซึ่งจริงๆ แล้ว พยายามสกัดกั้นไม่ให้มีการนำรถข้ามไป แต่เนื่องจากแนวชายแดนค่อนข้างยาว และมีท่าข้ามหลายจุดอาจทำให้ดูแลไม่ทั่วถึง
อย่างไรก็ตาม ปัญหานี้คงต้องพูดคุยขอความร่วมมือไปยังฝั่งพม่า ผ่านที่ประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค ไทย-พม่า (Regional Border Committee: RBC) และคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น (Township Border Committee - TBC) ใช้ความสัมพันธ์อันดีเจรจา หาทางนำรถคืนมาให้ได้ต่อไป