MGR Online - “ทนายอั๋น” บุกยื่นหลักฐานดีเอสไอ ตรวจสอบ 'เรืองไกร' เข้าข่ายฟอกเงิน หลังครอบครองทรัพย์สินราคาแพง และ “ทนายตั้ม” หอบเงินเข้าประเทศถูกต้องหรือไม่
วันนี้ (21 มิ.ย.) เวลา 11.00 น. ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือ “ทนายอั๋น บุรีรัมย์” เดินทางยื่นหนังสือร้องเรียนต่อ พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล อธิบดีดีเอสไอ เพื่อขอให้ตรวจสอบการกระทำของ “นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ” สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ฐานความผิดฟอกเงิน และตรวจสอบ “นางจตุพร อุบลเลิศ หรือ ป้าอ้อย” เกี่ยวข้องกับทนายตั้ม ว่าเข้าข่ายการฟอกเงิน (ศุลกากร) หรือไม่
ทนายอั๋น เปิดเผยว่า ตนมายื่นขอให้ตรวจสอบนายเรืองไกร กรณีที่ได้ยื่นหลักฐานต่อ กกต. ว่า "นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์" เป็นบุคคลผู้ขาดคุณสมบัติการรับสมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือไม่ อาจเข้าข่ายเป็นการกระทำความผิด ฐานแจ้งความอันเป็นเท็จต่อ กกต. และตรวจสอบทรัพย์สินมีค่า เช่น รถยนต์หรูหลายคัน ที่มักจะประกาศว่าได้มี “ผู้ใหญ่ใจดี” ซื้อให้ว่าเข้าข่ายเป็นการกระทำฐานฟอกเงินหรือไม่ และเเคสเชียร์เช็ค จำนวน 25 ล้านบาท ถึงแหล่งที่มาของเงินดังกล่าว ว่ามีความผิดตามมาตรา 143 ว่า ผู้ใดเรียกรับเงินและผลประโยชน์จาก เจ้าหน้าที่ฝ่ายการเมือง เนื่องจากเข้าข่ายความผิดมูลฐานคดีพิเศษของดีเอสไอที่รับผิดชอบ และอยากให้มีการตรวจสอบควบคู่ไปกับ กกต.
ทนายอั๋น เผยว่า ที่ผ่านมา นายเรืองไกร ถือเป็นบุคคลสาธารณะ เคลื่อนไหวร้องเรียนทางการเมืองมาหลายปีและไม่ได้ประกอบอาชีพอะไร นอกจากการเดินเรื่องร้องเรียน ส่วนกรณีที่นายเรืองไกรอ้างว่าได้รับมาจากภรรยา เมื่อถึงขั้นตอนตรวจสอบก็จำเป็นต้องมีการดูถึงพฤติการณ์เงินเข้า-เงินออกภายในบัญชีธนาคาร อีกทั้ง หากปรากฏว่า นายเรืองไกร ได้กระทำผิดในฐานแจ้งความเท็จต่อ กกต. เพื่อให้บุคคลต้องรับโทษดังกล่าว ดังนั้น จึงขอให้ดีเอสไอช่วยตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยให้เรียกหรือทำการสอบสวนพยานหลักฐาน พยานบุคคลที่เกี่ยวข้องจาก กกต. หรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่
“อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าท้ายสุดคุณสมบัติของนายพิธาจะเป็นอย่างไร ในข้อเท็จจริงที่นายเรืองไกรเสนอต่อ กกต. ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงความผิดจากมาตรา 143 จึงหวังให้ดีเอสไอรับสำนวนมาตรวจสอบ เเล้วค่อยนำส่ง ปปง. เพื่อพิจารณาในส่วนของการฟอกเงินต่อไป”
ทนายอั๋น เผยอีกว่า อีกเรื่องในส่วนความสัมพันธ์ของนายษิทรา เบี้ยงบังเกิด หรือ ทนายตั้ม กับ นางจตุพร อุบลเลิศ หรือ ป้าอ้อย คนสนิทของทนายตั๋ม ที่มีการไปมอบเงินและอาคารเรียนแห่งหนึ่งในจ.นครราชสีมา จำนวนกว่า 100 ล้าน ซึ่งตนเองอยากให้ ดีเอสไอ ตรวจสอบเส้นทางการเงินว่า เงินจำนวนดังกล่าวนั้นเข้ามาประเทศไทยได้อย่างไร ผ่านการโอนเงินข้ามประเทศเข้าธนาคารในไทยก่อนหรือไม่ หรือ เป็นการหิ้วเงินสดเข้ามา ซึ่งหากเป็นการหิ้วเข้ามานั้นมีการสำแดงอย่างถูกต้องหรือไม่ หรือมีการช่วยเหลือของบุคคลอื่นให้เข้าประเทศแบบ VIP หรือไม่
ทนายอั๋น กล่าวเสริมว่า พฤติการณ์ดังกล่าว หากนำเงินเข้ามาผิดกฎหมายจริง จะเข้าข่ายการฟอกเงินอย่างชัดเจน ซึ่งการฟอกเงินนั้นเป็นความผิดมูลฐานของดีเอสไอที่ต้องตรวจสอบ โดยหลังจากที่ตนเองได้คุยกับเจ้าหน้าที่ของดีเอสไอแล้วนั้นได้รับการประสานว่าจะทำหนังสือส่งไปยังธนาคารแห่งประเทศไทยว่ามีการโอนเข้ามาจริงหรือไม่ หากไม่มีการโอนจริงทางดีเอสไอจะประสานไปยังกรมศุลกากรให้เข้ามาร้องทุกข์ต่อไป