ศาลอาญาสั่งจำคุก 8 ปี “บุญช่วย” น้องชาย "พระกิตติวุฑโฒ" อดีตประธานมูลนิธิอภิธรรมมหาธาตุ ฮุบที่ดินธรณีสงฆ์ จ.จันทบุรี 4,000 ไร่
จากกรณีที่ มูลนิธิอภิธรรมมหาธาตุวิทยาลัย ส่งตัวแทนเข้าพบพนักงานสอบสวน กก.2 บก.ป.เพื่อแจ้งความเอาผิดกับ นายบุญช่วย เจริญสถาพร ซึ่งเป็นน้องชายของ พระกิตติวุฑโฒ ภิกขุ อดีตประธานมูลนิธิอภิธรรมมหาธาตุ ในคดียักยอกที่ดินในพื้นที่ อำเภอท่าใหม่ อำเภอเขาคิชฌกูฏ อำเภอมะขาม จังหวัดจันทบุรี ของมูลนิธิ จำนวน 4,000 ไร่ ไปเป็นของตนเอง โดยมีการสวมสิทธิการครอบครองและนำไปออกโฉนดโดยมิชอบ เหตุเกิดเมื่อ พ.ศ. 2561 ซึ่งต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ป. ได้รวบรวมพยานหลักฐานจนนำไปสู่การจับกุมนายบุญช่วย เมื่อเดือนมิถุนายน 2563 ที่ผ่านมา
ล่าสุด เมื่อวันที่ 21 ก.พ.ที่ผ่านมา ศาลอาญาได้พิพากษาว่าที่ดินนั้นเป็นของมูลนิธิอภิธรรมมหาธาตุวิทยาลัย และการกระทำของนายบุญช่วยและบุตรชาย เป็นความผิดตามกฎหมาย โดยมีความเห็นพิพากษาลงโทษนายบุญช่วย จำคุก 8 ปี และพิพากษาลงโทษบุตรชายนายบุญช่วย จำคุก 1 ปี
รายละเอียดของคดีนี้ ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ ปี 2512 พระกิตติวุฑโฒ ซึ่งเป็นกรรมการมูลนิธิอภิธรรมมหาธาตุวิทยาลัย และเป็นผู้ก่อตั้ง จิตตภาวันวิทยาลัย อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี โดยเป็นสถานที่ที่ให้พระสงฆ์ สามเณร จากทั่วประเทศไปปฏิบัติธรรมและเรียนรู้ธรรมะ พระกิตติวุฑโฒ ซึ่งเป็นพระที่มีชื่อเสียง จึงได้มีแนวคิดจัดหาซื้อที่ดินเพื่อปลูกพืชผลมาเลี้ยงพระสงฆ์และสามเณร ก่อนติดต่อซื้อที่ดินประมาณ 4,000 ไร่ มูลค่าประมาณ 12 ล้านบาท (ในขณะนั้น) ของ นายสมพล โกศลานันท์ นักธุรกิจในจังหวัดจันทบุรี โดยนายสมพล ก็ตกลงขายที่ดินให้ ขณะเดียวกันพระกิตติวุฑโฒก็ขอรับบริจาคเงินจากพุทธศาสนิกชน เพื่อนำมาซื้อที่ดินดังกล่าวได้ประมาณ 8 ล้านบาท และได้นำเงินดังกล่าวไปมอบให้นายสมพลฯ ซึ่งนายสมพล ก็ยินยอมให้มูลนิธิอภิธรรมมหาธาตุวิทยาลัย เข้าไปครอบครองที่ดินแปลงดังกล่าว โดยยังไม่ได้จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อผู้ครอบครองจากชื่อนายสมพลฯมาเป็นชื่อมูลนิธิอภิธรรมมหาธาตุวิทยาลัยแต่อย่างใด
ต่อมา พระกิตติวุฑโฒ ได้ส่งพระภิกษุและสามเณร เข้าไปทำกิจกรรมทางพุทธศาสนาในที่ดินแปลงดังกล่าว และในระหว่างนั้นก็ให้นายบุญช่วย ซึ่งเป็นน้องชายของพระกิตติวุฑโฒ เข้าไปช่วยดูแลที่ดินแทนมูลนิธิอภิธรรมมหาธาตุวิทยาลัย รวมทั้งคอยจัดหาอาหารและดูแลพระสงฆ์และสามเณรระหว่างที่เข้าไปทำกิจกรรมในที่ดินแปลงดังกล่าว ซึ่งต่อมา ปี 2538 นายสมพล ถึงแก่ความตาย และปี 2548 พระกิตติวุฑโฒ มรณภาพ แต่ที่ดินแปลงดังกล่าวก็ยังไม่ได้โอนเปลี่ยนชื่อมาเป็นของมูลนิธิอภิธรรมมหาธาตุวิทยาลัยต่อมา ปี 2550 นายบุญช่วย ได้ไปติดต่อนายเรวัตร โกศลานันท์ ซึ่งเป็นบุตร 1 ใน 6 คนของนายสมพล เพื่อให้นายเรวัตร ลงชื่อในเอกสาร “หนังสือรับการชำระเงินค่าที่ดิน” ซึ่งระบุว่า นายสมพล ได้ขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้กับนายบุญช่วย หลังจากนั้นนายบุญช่วย ได้นำ “หนังสือรับการชำระเงินค่าที่ดิน” เป็นพยานหลักฐานยื่นฟ้องนายเรวัตร ต่อศาลจังหวัดจันทบุรี เพื่อให้นายเรวัตร ทำการโอนเปลี่ยนชื่อจากนายสมพลฯ มาเป็นชื่อนายบุญช่วย โดยในการยื่นฟ้องคดีดังกล่าวนั้นทนายโจทก์และทนายจำเลย เป็นทนายความที่ทำงานอยู่ในสำนักงานทนายความเดียวกัน ซึ่งต่อมาภายหลังก็อ้างต่อศาลจังหวัดจันทบุรีว่าโจทก์และจำเลย สามารถตกลงประนีประนอมยอมความกันได้แล้ว ศาลจังหวัดจันทบุรีจึงมีคำพิพากษาตามยอมให้นายเรวัตร ซึ่งเป็นบุตร 1 ใน 6 คน ของนายสมพล ทำการโอนเปลี่ยนชื่อใน นส.3 จากชื่อนายสมพล เป็นชื่อนายบุญช่วย ซึ่งนายบุญช่วยก็ได้นำคำพิพากษาไปติดต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดจันทบุรี สาขาท่าใหม่ และสาขามะขาม เพื่อขอให้เจ้าหน้าที่เปลี่ยนชื่อผู้ครอบครองใน นส.3 มาเป็นชื่อตนเองแต่ปรากฏว่าเจ้าพนักงานที่ดินทราบว่า นายเรวัตร ไม่ได้เป็นผู้จัดการมรดก จึงโอนเปลี่ยนชื่อให้เป็นของนายบุญช่วย ไม่ได้ นายบุญช่วย จึงไปติดต่อกับบุตรของนายสมพล อีก 2 คนให้ลงชื่อรับรองข้อความทำนองเดียวกันว่านายสมพล ขายที่ดินให้นายบุญช่วย แล้วนำเอกสารดังกล่าวไปเสนอต่อศาลจังหวัดจันทบุรี พร้อมให้นายเรวัตรไปแถลงต่อศาลว่านายสมพล มีทายาทเพียงแค่ 3 คน ทั้งที่จริงแล้ว นายสมพลมีทายาท จำนวน 6 คน ศาลจังหวัดจันทบุรีจึงมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดจันทบุรี โอนเปลี่ยนชื่อใน นส.3 จำนวน 86 ฉบับ โดยเปลี่ยนจากนายสมพล มาเป็นของนายบุญช่วยและต่อมาในปี 2553-2554 นายบุญช่วย และบุตรชายได้นำ นส.3 ไปขอออกโฉนดที่ดินเป็นชื่อของตนเองและบุตรชาย
ต่อมาทายาทของนายสมพล ทราบถึงพฤติกรรมทั้งหมดของนายบุญช่วย ว่า ได้ยึดที่ดินของมูลนิธิฯไปเป็นของตนเอง จึงมีการฟ้องร้องกัน ระหว่างทายาทของนายสมพล กับนายบุญช่วย จำนวนหลายคดี ซึ่งคดีแพ่งคดีหมายเลขดำที่ 630/2554 คดีหมายเลขแดงที่ 199/2556 ลงวันที่ 7 มีนาคม 2560 ศาลจังหวัดจันทบุรี พิพากษาว่า นายบุญช่วย เข้าไปครอบครองปลูกต้นยางพาราและทำสวนผลไม้ในที่ดินดังกล่าว โดยนายสมพล ครอบครองอยู่เดิมและไม่ได้โต้แย้ง เมื่อที่ดินดังกล่าวมีเพียง นส.3 จึงเป็นการแสดงว่านายสมพล ได้สละเจตนาครอบครอง การครอบครองของนายสมพล จึงสิ้นสุด และเมื่อนายบุญช่วยเข้าครอบครองที่ดินดังกล่าว จึงสันนิษฐานว่าครอบครองเพื่อตน ตาม ป.แพ่ง มาตรา 1377 วรรคหนึ่ง และมาตรา 1369
นายบุญช่วย จึงมีสิทธิครอบครองที่ดินแปลงดังกล่าว ทายาทของ นายสมพล เจ้าของที่ดินเดิม ซึ่งเป็นโจทก์ จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
ต่อมาศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษา ว่า จากข้อเท็จจริงที่นำสืบมารับฟังได้ว่า นายสมพล ได้ขายที่ดินและส่งมอบให้กับนายบุญช่วย ตั้งแต่ ปี 2515 ที่ดินแปลงดังกล่าว จึงไม่ใช่ทรัพย์มรดกของนายสมพล น.l.เขมจิรา บัณฑูรนิพิท โจทก์ ไม่ใช่ทายาทของนายสมพล จึงไม่ใช่ผู้เสียหาย ศาลฎีกาจึงยกฟ้องเนื่องจากเห็นว่าที่ดินไม่ใช่ทรัพย์มรดก นายบุญช่วย จึงได้นำคำพิพากษาของศาลฎีกาดังกล่าวมากล่าวอ้างว่าที่ดินของมูลนิธิอภิธรรมมหาธาตุวิทยาลัยเป็นของตนเองมาโดยตลอด ทายาทของนายสมพล จึงมาแจ้งให้มูลนิธิอภิธรรมมหาธาตุวิทยาลัยทราบ เมื่อมูลนิธิอภิธรรมมหาธาตุวิทยาลัยทราบแล้ว จึงมาร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามคณะพนักงานสอบสวน กองกำกับการ 2 กองบังคับการปราบปราม ได้สอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง ทั้งพยานเอกสารของทางราชการ, พยานบุคคลต่างๆ เช่น พระสงฆ์และสามเณร ซึ่งในอดีตเคยจำวัดอยู่ที่ จิตตภาวันวิทยาลัย และรับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคดีนี้มาโดยตลอด จนได้ข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่เชื่อว่าที่ดินนั้นเป็นของมูลนิธิอภิธรรมมหาธาตุวิทยาลัย ไม่ใช่เป็นของนายบุญช่วยตามคำพิพากษาในคดีเก่า จึงได้จับกุมตัวนายบุญช่วย และบุตรชายมาดำเนินคดีตามกฎหมาย และมีความเห็นสั่งฟ้องไปยังพนักงานอัยการ กระทั่งล่าสุดศาลอาญาวินิจฉัยแล้วว่าที่ดินนั้นเป็นของมูลนิธิอภิธรรมมหาธาตุวิทยาลัยดังกล่าว