สภาทนายความ รับเรื่อง อดีตรองนายก ร้องสอบทนายดัง ผิดมรรยาทเเถลงข่าวโจมตีเรื่องส่วนตัว อุปนายกชงเสนอแก้ระเบียบกำหนดกรอบเวลาสอบมรรยาท
เมื่อเวลา 14.00 น. วันนี้ (10 ก.พ.) ที่สภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ ถ.พหลโยธิน ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ พร้อมคณะกรรมการสภาทนายความ ประกอบด้วย นายสุนทร พยัคฆ์ เลขาธิการสภาทนายความและกรรมการประชาสัมพันธ์, นายวีรศักดิ์ โชติวานิช อุปนายกฝ่ายเทคโนโลยีและสารสนเทศ รองโฆษกสภาทนายความ, นายสมพร ดำพริก อุปนายกฝ่ายช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย, นายสุชาติ ชมกุล อุปนายกฝ่ายกิจการพิเศษ, นายสงคราม สกุลพราหมณ์ อุปนายกฝ่ายบริหาร ร่วมกันแถลงข่าวกรณีมีผู้เสียหายร้องสภาทนายความให้ช่วยสอบสวนมรรยาททนายความชื่อดัง
นายวีรศักดิ์ รองโฆษกสภาทนายความ กล่าวว่า วันนี้มีผู้เสียหายจำนวนสองราย ที่อ้างว่า ได้รับผลกระทบต่อการประพฤติผิดมรรยาททนายความของทนายความชื่อดังคนหนึ่ง ส่งตัวแทนผู้รับมอบอำนาจมายื่นหนังสือต่อประธานกรรมการมรรยาททนายความ โดยมี นายสุชาติ ชมกุล อุปนายกฝ่ายกิจการพิเศษเป็นผู้รับหนังสือเพื่อส่งต่อประธานกรรมการมรรยาททนายความพิจารณา เรื่องกรอบระยะเวลาเเม้ปัจจุบันไม่มีการกำหนดไว้ เเต่เมื่อ ดร.วิเชียร เข้ามาเป็นนายกสภาทนายความ ได้ให้นโยบายหลักไปยังนายสุชาติในการหารือทำความเข้าใจกับกรรมการมรรยาท เพื่อขอความร่วมมือในการเร่งรัดคดีมรรยาท ให้มีความรวดเร็ว ปัจจุบันนี้เรามีพระราชบัญญัติเกี่ยวกับกรอบระยะเวลาในการดำเนินคดีในกระบวนการยุติธรรม แม้สภาทนายความจะไม่มีชื่อเป็นหน่วยงานของรัฐโดยตรง แต่เราก็ถือว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการยุติธรรม ในยุคนี้จะต้องเร่งรัดเพราะมันเป็นการทำงาน ที่สังคมรออยู่ว่าคดีที่ร้องเข้ามาแล้ว มีความชัดเจนและโปร่งใส
นายสุชาติ กล่าวว่า คดีมรรยาทเป็นเรื่องที่กรรมการบริหารสภาทนายความเป็นผู้รับเรื่องราวร้องทุกข์ของประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากพฤติกรรมของทนายความ ในชั้นนี้ยังไม่ได้รับคำกล่าวหาเป็นเพียงการรับหนังสือ เพื่อจะส่งไปยังประธานมรรยาททนายความ ส่วนจะรับเป็นข้อกล่าวหาจะอยู่ที่ประธาน และ คกก.มรรยาททนายความ ถ้าเข้าข่ายก็จะตั้งกรรมการสอบสวนมรรยาท ส่วนเรื่องกรอบระยะเวลา ระเบียบเขียนไว้ว่าเมื่อได้รับคำกล่าวหาจะต้องพิจารณาโดยเร็ว แต่ไม่ได้กำหนดกรอบไว้ หลายคดีอาจจะช้าเร็ว เพราะต้องให้ผู้ถูกกล่าวหามาแก้ข้อกล่าวหา มีการนำพยานมาสืบมีการสอบสวน ระยะเวลาแต่ละเรื่องจึงไม่เท่ากัน ส่วนโทษในกรณีผิดมรรยาทมี 3 ระดับ ประกอบด้วย ภาคทัณฑ์ พักใบอนุญาตไม่เกิน 3 ปี เเละลบชื่อออกจากทนายความ
นายสุนทร พยัคฆ์ เลขาธิการสภาทนายความ กล่าวว่า ตนเป็นคณะกรรมการพิจารณายกร่างระเบียบ เกี่ยวกับการพิจารณาคดีมรรยาท เดิมทีเราไม่มีระเบียบว่าเมื่อร้องมาเเล้วจะต้องพิจารณาให้เสร็จตอนไหน แต่ในปัจจุบันระเบียบฉบับใหม่กำลังจะออกมา แต่ต่อไปร้องเข้ามาแล้วคณะกรรมการมรรยาทจะต้องมีข้อพิจารณาว่าจะแล้วเสร็จในกี่วัน ส่วนข่วงระยะเวลากรอบกี่วันนั้นอยู่ระหว่างการพิจารณา
“อยากเรียนว่า คณะกรรมการสภาทนายความ มีอำนาจโดยตรง เกี่ยวกับการดูแลมรรยาททนายความตาม พ.ร.บ.ทนายความมาตรา 7 สามารถเข้าไปดูได้การที่ผู้เสียหายเข้ามาร้อง ขอความเป็นธรรมในกรณีที่ทนายความประพฤติผิดมรรยาท สามารถมาร้องกับกรรมการสภาทนายความได้โดยตรง” เลขาธิการสภาทนายความ กล่าว
โดยผู้รับมอบอำนาจจากอดีตรองนายกรัฐมนตรี ที่ปรากฏเป็นข่าวดัง เปิดเผยว่า คดีนี้เป็นที่ปรากฏตามสื่อมวลชนไปแล้วและสังคมก็คงทราบว่าทนายคนดังกล่าวนั้นเป็นใคร โดยรายละเอียดนั้น จะขอเปิดเผยหลังจากที่กรรมการมรรยาททนายความมีการสอบสวนก่อน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากกรณีที่อดีตรองนายกฯมาร้องทนายความชื่อดังในวันนี้เเล้ว ในช่วงบ่ายยังได้มีตัวเเทนผู้รับมอบอำนาจ อดีตผู้ช่วยเลขานุการรองประธานสภาผู้แทนราษฏร กับพวกรวม 3 คน ได้ถูกทนายความชื่อดัง พร้อมกับนักธุรกิจสาวใหญ่กรณีแถลงข่าวหมิ่นประมาทฯ จนเป็นเหตุให้เสื่อมเสียชื่อเสียง โดยหนังสือร้องเรียนระบุสรุปว่า
กรณีเมื่อวันที่ 1 ธ.ค. 2565 ทนายดังได้ร่วมกับคู่หูนักธุรกิจสาวใหญ่ แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน เกี่ยวกับคดี เป็นการใส่ความให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น และ เกลียดชัง เเม้จะไม่ได้ระบุชื่อโดยตรง แต่ก็ได้นำเอาข้อเท็จจริงแวดล้อมที่เป็นอดีตผู้ช่วยเลขารองประธานสภา มีความเกี่ยวข้องกับพรรคภูมิใจไทย และมีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด มาพูดแถลงข่าวซึ่งบุคคลทั่วไปที่รับฟังข่าวสารสามารถเข้าใจได้ ว่า บุคคลกล่าวถึงนั้น หมายถึงใคร เนื่องจากรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ของพรรคภูมิใจไทยมีเพียงคนเดียว และที่มีบุตรสาวคนเดียวคือใคร ทำให้บุคคลทั่วไปที่รับฟังได้คู่กรณีของนักธุรกิจสาวมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเลขารองประธานสภาผู้แทนราษฎรมีความเกี่ยวข้อง กับพรรคภูมิใจไทยทำงานเป็นที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด
ผู้ร้องกับพวกได้แจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับบุคคลทั้งสอง ในข้อหาร่วมกันหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ที่ สภ.อ.เมือง นครพนม และก็ได้ทราบว่าพนักงานสอบสวนได้ออกหมายเรียกบุคคลทั้งสองแล้ว
โดยทนายความคนดังในสื่อสังคมออนไลน์ มีผู้ติดตามเป็นจำนวนมากประมาณ 2.2 ล้านคน การที่มีความเห็นหรือทำคดีใดๆ ย่อมเป็นที่สนใจและนำติดตามของสังคมโดยคดีที่นักธุรกิจ แจ้งความพนักงานสอบสวนกองปราบ พนักงานสอบสวนส่งสำนวนไปให้อัยการโดยมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง ซึ่งทนายคนดังกล่าวก็ทราบ แต่กลับแถลงกล่าวอ้างข้อเท็จจริงที่ไม่เป็นจริง และให้สัมภาษณ์ทำนองกดดันการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
และยังได้นำประวัติข้อมูลส่วนตัวของผู้ร้อง ที่เกี่ยวพันถึงบุคคลอื่น พร้อมพูดเชื่อมโยงทั้งเรื่องส่วนตัว ในเรื่องทำนองชู้สาว ในทำนอง ใส่ความ เจตนาใช้สื่อสารมวลชน จัดตั้งกลุ่มทาง แอพพลิเคชั่นไลน์ ซึ่งมีสมาชิกจำนวนมากถึง 330 คน นำข้อมูลส่วนตัวของผู้ร้องลงในกลุ่มไลน์
ถือได้ว่าประพฤติตนเป็นการฝ่าฝืน ต่อศีลธรรมอันดี แสวงหาผลประโยชน์เพื่อตนมากกว่าประโยชน์เพื่อประชาชน จากการที่นำเรื่องราว พิพาทของบุคคลที่มีชื่อเสียงกับบุคคลที่ได้มาขอความช่วยเหลือจากตน มาแพร่กระจายข้อเท็จจริง เพื่อให้สังคมรับรู้ทางสื่อสังคมออนไลน์ ทั้งที่ทนายความควรเป็นผู้ไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาทเบื้องต้น
การที่ได้จัดการแถลงข่าวหรือนำข้อมูลส่วนตัวของคู่พิพาทลงในกลุ่ม แอปพลิเคชันไลน์ที่มีนักข่าวเป็นสมาชิกจำนวนมาก ย่อมส่งผลให้คู่กรณีนั้นบาดหมางทางจิตใจกันมากขึ้น และหนทางที่จะเจรจา ประนีประนอมยอมความยากมากยิ่งขึ้น และเป็นการยุยงให้เกิดคดีความฟ้องร้องตามมาอีกมากมาย อันจะทำให้ทนายความได้รับผลประโยชน์จากการรับว่าความคดีที่มีข้อพิพาทเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งอยู่ในลักษณะของการยุยงส่งเสริมให้มีการฟ้องร้องคดีกัน เป็นการเสื่อมเสียต่อศักดิ์ศรีและเกียรติของทนายความ เป็นการใช้วิชาชีพอันทรงเกียรติและใช้ความมีชื่อเสียงของตนเอาเปรียบผู้อื่นที่เป็นคู่ความฝ่ายตรงข้าม อีกทั้งเป็นการหาประโยชน์ในทางการค้าให้แก่ตนเอง ซึ่งการประกอบวิชาชีพ ทนายความต่างจากการประกอบธุรกิจการค้าที่มุ่งหาผลประโยชน์สูงสุดแก่ตนเองหรือองค์กร จะทำให้มีคดีความ ฟ้องร้องกันตามมาอีกจำนวนมาก เป็นการใช้วิธีการอย่างธุรกิจการค้าที่มุ่งหางานเข้าสำนักงานด้วย การอวดอ้างว่าตนทำคดีความได้ดีกว่า และทำให้บุคคลต่างๆ ที่มีข้อพิพาททางกฎหมายอยากจะมาใช้ บริการให้ว่าความให้ เพราะมีช่องทางในการเผยแพร่ข้อเท็จจริงในคดีทั้งทาง สื่อสารมวลชนผ่านนักข่าวและสื่อสังคมออนไลน์ที่มียอดผู้ติดตามเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้มีรายได้มากขึ้นไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมอีกด้วยทั้งได้ทราบว่าทนายความคนดังกล่าวได้ถูกดำเนินคดีอาญาเป็นจำนวนมาก และคดีส่วนใหญ่ก็พฤติกรรมแห่งคดีเป็นการกระทำในทำนองเดียวกันกับคดีนี้
เหตุใดจึงไม่ถูกตรวจสอบพฤติกรรมผิดมรรยาททนายความมาก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่า ภายหลังกรณีที่ทนายความคนดังกล่าวได้กระทำการหมิ่นประมาทฯ ผู้ร้องเเล้ว ก็ได้มีผู้มีชื่อเสียงเป็นอดีต นักการเมืองท่านอื่นโดนหมิ่นประมาทฯ ในทำนองเดียวกัน จึงขอให้ข้อเสนอว่าวิชาชีพทนายความสำคัญอย่างมาก เพราะสังคมซับซ้อนขึ้นยังจะต้องพึ่งทนายความในการพัฒนาสังคม การที่ผู้ประกอบวิชาชีพทนายความใช้วิธีการทั้งหมดข้างต้น เป็นวิธีทำให้ได้เปรียบทางสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งสามารถชักจูงโน้มน้าวประชาชนให้เชื่อและ เข้าใจว่า คู่ความฝ่ายตรงข้ามกับบุคคลที่ทนายดังไปรับว่าความเป็นผู้กระทำความผิดจริง ตามที่ได้เสนอต่อสื่อสังคมออนไลน์
การกระทำตามที่ได้กล่าวมาทั้งหมดนั้น ถือว่าเป็นความผิดฐานประพฤติผิดมรรยาททนายความตามข้อบังคับสภาทนายความ ว่าด้วยมรรยาท ทนายความ พ.ศ. 2529 ข้อ 9 ที่ว่า “กระทำการอันเป็นการยุยงส่งเสริมให้มีการฟ้องร้องคดีกันใน กรณีอันหามูลมิได้ และข้อ 18 ที่ว่า “ประพฤติตนอันเป็นการฝ่าฝืนศีลธรรมอันดี และเสื่อมเสียต่อศักดิ์ศรีและเกียรติคุณของทนายความ” เพราะทนายความต้องมีความเป็นอยู่ที่ดีตามสมควรแก่ฐานะ ไม่ให้ผู้อื่น ดูแคลนวิชาชีพในการประกอบวิชาชีพทนายความ ทนายความต้องมีความสง่างามทางวิชาชีพ ต้องมีคุณธรรม ต้องมีความละอายต่อการประพฤติมิชอบ วิชาชีพทนายความจึงเป็นวิชาชีพ ที่มีเกียรติและศักดิ์ศรี
นอกจากนี้ พระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ. 2528 มาตรา 35(4) บัญญัติ คุณสมบัติของทนายความว่า จะต้องไม่เป็นผู้มีความประพฤติเสื่อมเสีย หรือบกพร่อง หรือศีลธรรมอัน ดี และไม่เป็นผู้ได้กระทำการใดซึ่งแสดงให้เห็นว่าไม่น่าไว้วางใจในความซื่อสัตย์สุจริต คดีมรรยาททนายความเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความบริสุทธิ์สะอาดของวิชาชีพ และประโยชน์แห่งความเป็นธรรมของสังคมเป็นส่วนรวม
การที่ทนายความคนเดียวประพฤติผิดมรรยาททนายความทำความเสื่อมเสียแล้วย่อมทำให้เพื่อนร่วมวิชาชีพทนายความอีกหลายหมื่นท่านเสื่อมเสียไปด้วย จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาคำร้องเรียนมรรยาททนายความฉบับนี้ และ ได้โปรดไต่สวนเพื่อพิจารณาลงโทษตามพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ. 2528 ด้วย