MGR Online -“สมศักดิ์” เผย ดีเอสไอรับคดี “ตู้ห่าว” เป็นคดีพิเศษ พบนายทุนเบื้องหลังอีก 4-5 กลุ่ม คาด ไม่เกิน 30 วัน แจ้งข้อหาได้ ตามยึดทรัพย์แล้ว 4,401 ล้านบาท ส่วนคดีอาญาเป็นหน้าที่ตำรวจ
วันนี้ (15 ธ.ค.) เวลา 10.00 น. ณ Cook&Coff ณ บางขวาง เรือนจำกลางบางขวาง จ.นนทบุรี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม พร้อมด้วย ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการ รมว.ยุติธรรม พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายปิยะศิริ วัฒนวรางกูร รองเลขาธิการ ป.ป.ส. ร่วมแถลงข่าวประเด็น รับคดี “ตู้ห่าว” เป็นคดีพิเศษ และความคืบหน้าการอายัดทรัพย์สินเครือข่ายกลุ่มชาวจีนทำธุรกิจผิดกฎหมายในไทย โดยมี นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ส่งมอบหลักฐานเพิ่มเติมให้กับกระทรวงยุติธรรม
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ภายหลัง นายชูวิทย์ ยื่นขอให้กระทรวงยุติธรรม รับคดีนายตู้ห่าวเป็นคดีพิเศษ และวานนี้ (14 ธ.ค.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้ประชุมมีมติรับเป็นคดีพิเศษที่ 314/2565 เนื่องจากคดียาเสพติดเป็นความผิดมูลฐานคดีการฟอกเงิน ตามบัญชีแนบท้าย พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 โดยขณะนี้ชุดพาลีปราบยา มีการยึดอายัดทรัพย์สินกว่า 3,020 ล้านบาท ของนายตู้ห่าว และล่าสุด สามารถยึดอายัดเพิ่มอีก 189 ล้านบาท ซึ่งเป็นทรัพย์สินในกลุ่มของนางพัชรินทร์ อิทธิวัฒนา และกลุ่มจีนอีกกลุ่ม ซึ่งมีทั้งที่ดิน บ้าน อาคารชุด รถยนต์ มอเตอร์ไซค์ นอกจากนี้ ป.ป.ส. ยึดอายัดได้ 2,192 ล้านบาท ซึ่งมีทรัพย์สินบางส่วนที่ซ้ำกับ ดีเอสไอ ทำให้ยอดรวมทั้งหมดอยู่ที่ 4,401 ล้านบาท และทาง ป.ป.ส. กำลังออกหมายยึดอายัดเพิ่มอีก 1,123 ล้านบาท
นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า กระทรวงยุติธรรม โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ ดำเนินการตรวจสอบในส่วนของนอมินี เพราะพบว่านายตู้ห่าว มีนายทุนอยู่เบื้องหลัง 4-5 กลุ่ม ถือหนังสือเดินทางต่างประเทศ ซึ่งเป็นบุคคลคาดว่าเป็นกลุ่มทุนที่ส่งเข้ามาในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ดีเอสไอได้เลขพาสปอร์ตชาวต่างชาติกลุ่มดังกล่าวแล้ว กำลังสอบสวนในเชิงลึกว่าเป็นบุคคลใดบ้างและเมื่อข้อมูลพร้อม จะมีการเปิดเผยตัวตนของกลุ่มทุนเหล่านี้ต่อไป โดยตอนนี้ได้เลขพาสสปอร์ตแล้ว คาดว่า จะเรียกมาให้ปากคำภายใน 2 สัปดาห์นี้ และจะดำเนินคดีได้ภายในไม่เกิน 30 วัน
ด้าน พ.ต.ท.ยุทธนา เผยว่า ความผิดคดีอาญาฐานฟอกเงิน เป็นความผิดที่เข้าเงื่อนไขบัญชีท้าย พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ เพราะมีมูลค่าสูง กระทบวงกว้าง ซึ่งบอร์ดกลั่นกรอง เห็นชอบแล้วเสนอให้อธิบดีดีเอสไอ ออกเลขคดีได้ ในส่วนของคดีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องนั้น ไม่ว่าจะเป็นความผิดอาชญากรข้ามชาติ ต้องอยู่ที่คณะกรรมการคดีพิเศษ ที่นายกรัฐมนตรี มอบหมายนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ เป็นประธาน มี รมว.ยุติธรรม ปลัดกระทรวงการคลัง ปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้แทน สตช. อธิบดีดีเอสไอ และอีกหลายหน่วยงานเป็นกรรมการ พิจารณาว่าจะเป็นคดีพิเศษหรือไม่ ในส่วนของการดำเนินคดีอาญา ก็ยังเป็นเรื่องของตำรวจ ส่วนการยึดทรัพย์คดียาเสพติด ก็เป็นหน้าที่ของ ป.ป.ส. ดีเอสไอก็ดูเรื่องการฟอกเงิน ต่างหน่วยต่างทำงานในของตนเอง แต่มีการบูรณาการการทำงานร่วมกัน โดยในการสอบสวนสามารถดึงหน่วยงานต่างๆ มาร่วมสอบสวนได้
ขณะที่ นายชูวิทย์ ระบุว่า การเป็นคนดีในสังคมต้องมีความอดทน และแสดงให้คนเห็นว่าไม่ง่าย แต่อย่าหมดกำลังใจ ตนขอบคุณ นายสมศักดิ์ และทีมงาน และขอมอบกระเช้าดอกไม้แสดงความขอบคุณ ที่ดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจัง ตนยืนยันว่าต่อสู้เพื่อผดุงความยุติธรรม ไม่มีใครอยู่เบื้องหลัง ไม่ได้เกลียดใครทั้งนั้น อยากทำเป็นตัวอย่างให้คนได้เห็น วันนี้ประชาชนมั่นใจ ในกระบวนการของกระทรวงยุติธรรม ถือเป็นที่พึ่งของสังคม การที่ดีเอสไอ เข้ามาทำคดี จะช่วยสืบได้ทั้งหมู่บ้าน ส่วนตำรวจจะสืบบ้านไหนก็ทำไป ซึ่งการที่ดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษ ไม่ใช่เพราะตนมากดดัน แต่เป็นไปตามกฎหมาย
นายชูวิทย์ กล่าวเสริมว่า ตนตั้งคำถามถึงผู้บัญชาการตำรวจนครบาล 5 ข้อ เกี่ยวกับการดำเนินคดีนายตู้ห่าวกับพวก ว่า 1. ทำไมจึงดำเนินคดีแต่ข้อหาคดียาเสพติดไม่ตั้งข้อหาคดีสมคบฟอกเงิน 2. มีพยานหลักฐานคือค่าเช่า ค่าไฟ เงินค้ำประกันไฟฟ้า และสิ่งสาธารณูปโภคต่างๆ ที่นายตู้ห่าวเป็นผู้จ่ายเงิน และมีชื่อเป็นผู้เช่าสถานที่ แต่ทำไมตำรวจจึงไม่ดำเนินการตรวจสอบให้เกิดความกระจ่าง 3. การจับกุมผับจิ้นหลิงมีผู้ต้องหา และพยานในที่เกิดเหตุจำนวนมากถึง 265 คน ควรจะต้องนำมือถือมาตรวจสอบให้ครบทั้งหมด เพื่อหาความเชื่อมโยง รวมถึงดำเนินคดีกับคนเอารถของกลางออกไปโดยมิชอบ
“4. การปล่อย เดวิด ฮอ กับ หลานนายตู้ห่าว ไปศาล ปล่อยตัวโดยมิชอบ ตำรวจมีเจตนาอะไร และ 5. มีการข่มขู่พยานปากสำคัญที่เป็นคนจีน ซึ่งถูกจับกุมที่ผับจิ้นหลิง ว่า หากไปให้ปากคำเป็นพยานจะไปฆ่าครอบครัวที่ประเทศจีน ตำรวจได้มีการตรวจสอบกรณีนี้แล้วหรือยังเผื่อป้องกันพยานกลับคำในชั้นศาล”
