MGR Online - “สมศักดิ์” เปิดกิจกรรมพืชกระท่อม เปลี่ยนใบไม้เป็นพืชเศรษฐกิจ เล็งส่งขายต่างประเทศ ยันไม่กระทบสุขภาพ พร้อมเตรียมเดินสาย 4 จังหวัดภาคใต้
วันนี้ (10 มี.ค.) เวลา 13.30 น. ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ดินแดง กรุงเทพฯ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการเปิดกิจกรรม “พืชกระท่อม สร้างเศรษฐกิจไทย ใช้อย่างไรให้มีคุณค่าและยั่งยืน” โดยมี น.ส.ณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ผู้ช่วย รมว.ยุติธรรม, นายธนวัชร นิติกาญจนา ที่ปรึกษา รมว.ยุติธรรม, นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส., นายสมชาย ศรีวิริยะจันทร์ หัวหน้าสาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพและวิทยาศาสตร์ประยุกต์คณะวิทยาศาสตร์ และประธานกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ สาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, นายคฑาวุธ ทองไทย (อาจารย์ไข่ วงมาลีฮวนน่า) และ นายณรงค์ชัย สงไข่ วิสาหกิจชุมชนสมุนไพรไทยทุ่งนารี จ.พัทลุง ร่วมงาน
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า การปลดล็อกพืชกระท่อมในช่วงแรกหลายคนยังกังวลว่าจะมีปัญหาอาชญากรรม หรือเรื่องสุขภาพหรือไม่ แต่วันนี้เราทำให้เห็นแล้วว่ามีผลดีมากกว่าที่หลายคนคิด เจตนารมณ์ในการปลดล็อกพืชกระท่อมนั้น เพราะเราเห็นว่าชาวบ้านบริโภคกันมาตลอดแต่ผิดกฎหมาย แต่ก็มีคนไปแอบใช้และถูกจับดำเนินคดีจำนวนมาก เราจึงปลดล็อกนำคนออกจากคุกและไม่ดำเนินคดี เราช่วยได้หลายพันคน เดิมที่มีคนที่เกี่ยวข้องกับกระท่อมประมาณ 150,000 คน มีหมู่บ้านนำร่องที่เป็นหมู่บ้านอนุรักษ์ 157 หมู่บ้าน
“แต่วันนี้คนที่เกี่ยวข้องและใช้กระท่อมน่าจะมีเพิ่มขึ้นเป็น 10 เท่า และการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ จะมีการสัญจรล่องใต้ 4 จังหวัด คือ วันที่ 23 มี.ค. จ.สงขลา, วันที่ 1 เม.ย. จ.นครศรีธรรมราช, วันที่ 21 เม.ย. จ.พัทลุง และ วันที่ 6 พ.ค. จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งสาเหตุที่เราเน้นที่ภาคใต้ เพราะเป็นการลงไปขอบคุณหมู่บ้านทดลองที่เป็นส่วนสำคัญทางประวัติศาสตร์ในการปลดล็อกที่รอมานานถึง 78 ปี”
นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ในช่วงที่เราเจอวิกฤตโควิด-19 เศรษฐกิจติดขัด แต่พืชกระท่อมเป็นพืชตัวใหม่ที่ทำเงินได้มหาศาล จากการคำนวณคร่าวๆ หากเราปลูก 1 ไร่ ประมาณ 25 ต้น เก็บใบได้ประมาณ 5,400 กิโลกรัมต่อปี ราคาขายวันนี้กิโลกรัมละ 500 บาท จะมีรายได้ 2.7 ล้านบาทต่อปี ซึ่งขณะนี้มีคนปลูกอยู่ประมาณ 40,000 ไร่ ดังนั้น ปีหนึ่งๆ จะมีรายได้จากใบกระท่อมถึง 108,000 ล้านบาท จะเห็นได้ว่าจากวันที่ปลดล็อกพืชกระท่อม 24 ส.ค.2564 จนถึงวันนี้เป็นเวลา 5-6 เดือน เราสามารถเปลี่ยนใบไม้ที่ผิดกฎหมายเป็นเงินได้ถึงแสนล้านบาท ส่วนสเต็ปต่อไปเราคงต้องต่อยอดในการทำตลาดเพื่อส่งออกต่างประเทศ ซึ่งในช่วงแรกคงทำเป็นในลักษณะของกระท่อมบดผง และค่อยพัฒนาผลิตภัณฑ์อื่นๆ ต่อไป เชื่อว่าอีก 2 ปี การส่งออกคงเป็นล่ำเป็นสันมากขึ้น
ด้าน นายวิชัย กล่าวว่า ตอนแรก ป.ป.ส.จัดให้มีหมู่บ้านนำร่อง อ.บ้านนาสาร จ.สุราษฎร์ธานี ส่วนที่อื่นเราตัดทำลายทิ้ง แต่ท่านรัฐมนตรีขอให้คงไว้ และไปขออนุญาตทาง อย. และจัดทำหมู่บ้านนำร่อง 157 แห่ง ขึ้นมาคงพื้นที่ปลูกไว้ 24,000 ไร่ โดยปัจจุบันหลังการปลดล็อกมีพื้นที่ปลูกเพิ่มขึ้นเป็น 40,000 ไร่ ซึ่งก็ยังไม่เพียงพอต่อการบริโภคในประเทศ คงต้องใช้เวลาอีกระยะถึงจะมีจำนวนที่พอส่งออกได้ ส่วนเรื่องที่คนกังวลในการบริโภคแล้วเกิดอุบัติเหตุทางรถหรือไปก่ออาชญากรรม จากข้อมูลของตำรวจและบริษัทประกันภัยยังไม่พบ
ส่วนทาง นายสมชาย ระบุว่า งานวิจัยพืชกระท่อม เราเริ่มทำมาตั้งแต่ปี 2545 โดยเป็นการวิจัยเรื่องพื้นฐาน จากข้อมูลพบว่า สามารถใช้ทดแทนสารเสพติดบางประเภทได้ เช่น เฮโรอีน ซึ่งการวิจัยในปัจจุบันพบว่าสามารถทดแทนสารเสพติด เช่น เมทแอมเฟตามีนได้ด้วย นอกจากนี้ ยังมีการวิจัยผลกระทบต่อสมอง โดยมีผู้ทดลองที่ใช้นานกว่า 1 ปี และผู้ทดลองใช้นานที่สุด คือ 47 ปี โดยใช้การวัดคลื่นสมองเทียบกับคนที่ไม่เคยใช้เลยพบว่าไม่มีความแตกต่างกัน และยังมีการวิจัยอื่นๆ ที่เสริมเข้ามา เช่น ผลิตภัณฑ์ต้นแบบ ยาต่างๆ รวมถึงในต่างประเทศมีการใช้ในอุตสาหกรรมอื่นๆที่ไม่ใช่ยา ซึ่งเรากำลังจัดหาตัวอย่างมาวิจัยดูว่าเราจะใช้ได้หรือไม่
ขณะที่ นายณรงค์ชัย เผยว่า ชาวบ้านในอดีตเริ่มจากการใช้เคี้ยวและปลูกไว้ใช้เอง แต่เมื่อมีการปลดล็อกก็มีการเพาะต้นกล้าและขายใบ รวมกลุ่มกันสร้างวิสาหกิจชุมชน ทำผลิตภัณฑ์แปรรูป สามารถสร้างรายได้ให้กับชุมชนและครอบครัวมากขึ้น ตนยืนยันว่าผู้ใหญ่ในพื้นที่รวมทั้งตน มีการใช้ใบกระท่อมมาอย่างยาวนาน ยืนยันว่าเป็นพืชที่มหัศจรรย์ ตนต้องขอบคุณ รัฐบาลและนายสมศักดิ์ ที่ช่วยผลักดันทำกฎหมายดีๆที่เป็นประโยชน์ต่อชาวบ้าน
ทางด้าน นายคฑาวุธ กล่าวว่า ตนในฐานะคนใต้ ต้องขอบคุณรัฐบาลและนายสมศักดิ์ ตนเติบโตมากับวิถีชีวิตดั้งเดิม ที่ปูย่าตายายเคี้ยวใบกระท่อมเพื่อให้สู้แดด มีกำลังทำไร่ไถนาและเลี้ยงวัว เป็นวิถีดั้งเดิมที่อุดมสมบูรณ์ของสยามประเทศ พืชกระท่อมไม่ได้สร้างเศรษฐกิจอย่างเดียว แต่ยังสร้างวิถีพอเพียงด้วย ตนในฐานะศิลปินนักแต่งแพลง ก็ต้องใช้เพลงสื่อสารออกมา โดยตนได้แต่งเพลง “วันที่รอคอย” เพื่อใช้สื่อสารกับทุกๆ คน และวงมาลีฮวนน่าจะไปร่วมงานสัญจร 4 จังหวัดด้วย