ประจวบคีรีขันธ์ - “บิ๊กโจ๊ก” พร้อม ศพดส.ตร. ร่วม ปปง.ลุยค้นยึดทรัพย์ผู้ต้องหาอาญาฟอกเงินจากฐานความผิดคดีค้ามนุษย์ 4 จังหวัด 60 เป้าหมาย ในพื้นที่ประจวบฯ ระนอง ภูเก็ต และปัตตานี ยึดทรัพย์กว่า 100 ล้านบาท
วันนี้ (7 มี.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนโยบายรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี สั่งการให้ทุกหน่วยเร่งรัดปราบปรามการค้ามนุษย์ทุกรูปแบบและใช้มาตรการยึดทรัพย์ในการดำเนินคดีต่อผู้กระทำความผิดเพื่อตัดความสามารถในการกลับมากระทำความผิดซ้ำอีก พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. จึงได้สั่งการให้ศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศพดส.ตร.)
โดยมี พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. ผอ.ศพดส.ตร. พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร. รอง ผอ.ศพดส.ตร. ดำเนินการ โดยประสานความร่วมมือกับ พล.ต.ต.ปิยะพันธ์ ปิงเมือง เลขาฯ ปปง. พ.ต.ท.ธีรพงษ์ ดุลยวิจารณ์ ผอ.คด.4 ปปง. นางชลธิชา ดาวเรือง ผอ.คด.3 ปปง. เจ้าหน้าที่ ปปง. และชุดปฏิบัติการ ศพดส.ตร. ร่วมกันวางแผนตรวจสอบเส้นทางการเงินของผู้กระทำผิดฐานค้ามนุษย์ และฐานความผิดที่เกี่ยวข้องในคดีอาญาฟอกเงิน
พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร. รอง ผอ.ศพดส.ตร. กล่าวภายหลังลงพื้นที่ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ต.ปากน้ำปราณ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ เสร็จแล้วเดินทางมายังห้องประชุม สภ.ปราณบุรี พร้อมประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เข้าดำเนินการในพื้นที่เป้าหมายเพื่อรับทราบผลปฏิบัติ รวมทั้ง พล.ต.ต.วันชัย ธารณธรรม ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
หลังจากเสร็จสิ้นประชุม กล่าวว่า เมื่อวันที่ 23 มิ.ย.62 เจ้าหน้าที่ตำรวจภาค 8 ได้จับกุมขบวนการขนแรงงานต่างด้าวชาวพม่า ในพื้นที่ สภ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช และในวันที่ 6 ก.ย.64 ยังสามารถจับกุมขบวนการขนแรงงานต่างด้าวในพื้นที่ สภ.มาบอำมฤต จ.ชุมพร และ สภ.เขานิพันธ์ จ.สุราษฎร์ธานี และได้ดำเนินคดีในความผิดฐานค้ามนุษย์ องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ และ พ.ร.บ.คนเข้าเมือง
ขบวนการดังกล่าวนั้นมีการขนส่งแรงงานชาวพม่า จากฝั่ง อ.แม่สอด จ.ตาก เพื่อไปส่งประเทศปลายทางที่มาเลเซีย และต่อมาศาลจังหวัดทุ่งสง ได้มีคำพิพากษาจำเลยที่ถูกจับกุม สภ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช ในความผิดฐานค้ามนุษย์ โดยศาลพิพากษาจำคุกผู้ต้องหา 6 ปี จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินของผู้ต้องหา พบว่า มีความเชื่อมโยงกับขบวนการค้ามนุษย์ และเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ และพบว่ามีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มบุคคลทั้งภายในและภายนอกประเทศ ซึ่งเจ้าหน้าที่ ปปง. ได้ร้องทุกข์ดำเนินคดีในความผิดอาญาฟอกเงินอันเป็นมูลฐานความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 ต่อพนักงานสอบสวน สภ.บ้านมาบอำมฤต จ.ชุมพร ตามคดีอาญาที่ 36/2556 ลงวันที่ 17 ก.พ.56
จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ ศพดส.ตร. ร่วมกับเจ้าหน้าที่ ปปง. พบเส้นทางการเงินที่เข้าข่ายคดีอาญาฟอกเงินของกลุ่มเครือข่ายผู้ต้องหา และรวบรวมหลักฐานขออนุมัติศาลอาญาออกหมายจับผู้ต้องหา จำนวน 9 คน หมายจับศาลจังหวัดชุมพร จำนวน 1 คน ในความผิดอาญาฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน และขอหมายค้นศาลอาญาเข้าค้นเพื่อจับกุมและยึดอายัดทรัพย์ผู้ต้องหาในพื้นที่ 4 จังหวัด 60 เป้าหมาย ได้แก่ จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ ระนอง ภูเก็ต และจังหวัดปัตตานี
ผลการตรวจค้นสามารถจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาจำนวน 5 คน ผู้ต้องหา 3 คน สัญชาติพม่า หลบหนีอยู่นอกราชอาณาจักร ประสาน ตท.ขอออกหมาย red notice ไว้แล้วดำเนินการอายัดบัญชีธนาคารของกลุ่มผู้ต้องหาทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ จำนวน 25 บัญชี พบเงินหมุนเวียนในบัญชีดังกล่าวรวมกว่า 980 ล้านบาท
นอกจากนั้น ยังได้อายัด ยึดบ้านพร้อมที่ดิน จำนวน 6 หลัง รถยนต์ 6 คัน รถจักรยานยนต์ 5 คัน อายัดเรือผู้ต้องหาและหุ้นส่วนเพื่อตรวจสอบ จำนวน 12 ลำ รถยนต์บรรทุกแช่แข็ง 1 คัน สะพานปลา 1 แห่ง ทองรูปพรรณ 37 บาท สมุดบัญชี 31 เล่ม และทรัพย์สินอื่นๆ ในพื้นที่ 4 จังหวัด 60 เป้าหมาย ได้แก่ จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ ระนอง ภูเก็ต และจังหวัดปัตตานี รวมมูลค่ารวมประมาณ 100 ล้านบาท ซึ่งผู้ต้องหาและทรัพย์สินที่ตรวจยึดอายัดจะดำเนินการส่งมอบให้ สภ.มาบอำมฤต จ.ชุมพร เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับปฏิบัติการในวันนี้ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ จากที่ได้ประชุมวางแผนร่วมกันมาเป็นเดือน ซึ่งจากการสืบสวนของ ปปง.โดย พ.ต.ท.ธีรพงษ์ ดุลยวิจารณ์ ผอ.คด.4 ปปง.และเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดตรวจอายัดทรัพย์ต่างๆ ในเรื่องคดีความผิดการค้ามนุษย์ มีหลากหลายรูปแบบ ทั้งเรื่องทางเพศ แรงงานข้ามชาติ สำหรับในครั้งนี้เป็นการขนแรงงานข้ามชาติเอาไปบังคับเป็นทาส เอาไปขายต่ออีกทอดหนึ่ง เป็นการแสวงหาประโยชน์จากแรงงานมนุษย์ ซึ่งเป็นเหตุเชื่อมโยงที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้ เป็นเหตุที่เกิดขึ้นในท้องที่ จ.สุราษฎร์ธานี
โดยการขนคนข้ามจากแนวชายแดนพม่า ผ่านแม่สอด อาศัยประเทศไทยเป็นทางผ่าน ซึ่งประเทศไทยมี 3 สถานะคือ เป็นประเทศต้นทาง ปลายทาง และทางผ่าน จากการจับกุมตัวและศาลมีคำสั่งลงโทษจำคุกผู้ต้องหาไปแล้ว ซึ่งทางท่าน ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ขยายผล โดยได้ออกหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มเติม ซึ่งสิ่งที่สำคัญคือการยึดอายัดทรัพย์ ในคดีอาญาฐานฟอกเงิน เพื่อไม่ให้ขบวนการค้ามนุษย์มีกำลังกลับมาทำผิดซ้ำอีก
จากการลงพื้นที่ในวันนี้ ได้ลงพื้นที่พร้อมกัน 4 จังหวัด คือจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ระนอง ภูเก็ต และจังหวัดปัตตานี ยึดทรัพย์ทั้งหมด ประมาณ 117 ล้านบาท ยึดบัญชีธนาคารทั้งหมด 25 บัญชี ตรวจสอบแล้วมีเงินหมุนเวียนเกือบ 1 พันล้านบาท คือ 980 ล้านบาท โดยมีเงินในช่วงเช้า 6 ล้านกว่าบาท แต่มีพอร์ตทองคำอยู่ 3 พอร์ต ช่วงเช้ามีการโอนเงินจากการนำทองไปขายในช่วงที่ทองคำราคาแพงและมีเงินโอนเข้ามา จำนวน 17 ล้านบาท ทำให้เห็นได้ชัดเจนว่า ผู้ต้องหาในคดีฟอกเงิน เส้นทางการเงินจะใช้รูปแบบที่เปลี่ยนแปลงไปพยายามไม่ใช้เงินสด แต่เปลี่ยนเป็นทองคำแทน
ในวันนี้เจ้าหน้าที่จะขยายผลต่อว่า เซฟที่เก็บทองคำไว้อยู่ที่ไหน เพราะมีการตรวจพบว่ามีการซื้อทองคำอีกประมาณ 1,000 กว่ากิโลกรัม มูลค่าเป็นพันล้านบาท ซึ่งการทำงานจะยังไม่หยุดแค่นี้ เจ้าหน้าที่จะไล่เลียงเส้นทางการเงินเพิ่มเติม และจะขยายวงออกไปอีก ซึ่งจะได้มีการรายงานการยึดอายัดทั้งหมดให้ท่าน ผบ.ตร.ทราบ และรายงานไปสำนักงานปราบปรามการฟอกเงิน เพื่อให้ ปปง.ใช้อำนาจในการยึดอายัดต่อไป
ด้าน พ.ต.ท.ธีรพงษ์ ดุลยวิจารณ์ ผู้อำนวยการกองคดี 4 สำนักงาน ปปง. (ผอ.คด.4 ปปง.) กล่าวว่า ในคดีนี้เป็นการดำเนินการขยายผลจากคดีที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการจับกุมไว้ก่อนหน้านี้ โดยได้ขยายผลยึดอายัดทรัพย์สินของผู้ต้องหา ก่อนส่งต่อให้ ปปง.ดำเนินการยึดอายัดตามอำนาจหน้าที่ โดยจะให้ความเป็นทรัพย์กับเจ้าของทรัพย์สินมาชี้แจงทรัพย์ดังกล่าว หากพิจารณาแล้วไม่เกี่ยวข้องจะส่งมอบคืน
สำหรับรูปแบบการกระทำความผิดมีความแตกต่างไป โดยในคดีนี้นำเงินไปฟอกด้วยการเปิดพอร์ตทองคำ ต้องดูเจ้าของพอร์ต ต้องดูสถานะว่ามีความสามารถในการเปิดพอร์ตและชำระเองได้หรือไม่ ซึ่งเจ้าหน้าที่สามารถตรวจสอบได้ทั้งหมด กลไกในการทำงานคล้ายกับผู้ต้องหาในคดียาเสพติด ที่มีการโอนเงินให้ผู้เกี่ยวข้องตลอดเส้นทางที่มีการกระทำความผิดในคดี ทั้งหมดสามารถตรวจสอบความผิดได้