ศาลฎีกายกฟ้องทัวร์ศูนย์เหรียญ ชี้ ไม่ได้ประกอบธุรกิจให้เกิดความเสียหายอุตสาหกรรมท่องเที่ยว หรือไม่เป็นธรรมกับนักท่องเที่ยว
เมื่อเวลา 09.00 น.วันนี้ (3 มี.ค.) ที่ห้องพิจารณา 811 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีทัวร์ศูนย์เหรียญ หมายเลขดำ ฟย. 46/2559 หมายเลขแดง ฟย.25/2560 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 3 เป็นโจทก์ฟ้องนายสมเกียรติ คงเจริญ อายุ 63 ปี กก.ผจก.บริษัท ซินหยวน ทราเวล จำกัด, นางธวัล แจ่มโชคชัย อายุ 65 ปี กก.ผจก.บจก.ฝูอัน ทราเวล, บริษัท โอเอ ทรานสปอร์ต จำกัด, นายวสุรัตน์ โรจน์รุ่งรังสี อายุ 32 ปี กก.ผจก บจก.โอเอฯ, บริษัท รอยัลเจมส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด, บริษัท ไทยเฮิร์บ จำกัด, บริษัท บางกอก แฮนดิคราฟท์ เซ็นเตอร์ จำกัด, บริษัท รอยัลพาราไดซ์ จำกัด, นางนิสา โรจน์รุ่งรังสี อายุ 67 ปี กรรมการผู้จัดการทั้งสี่บริษัท ซึ่งเป็นมารดาของ นายวสุรัตน์, นายธงชัย โรจน์รุ่งรังสี อายุ 66 ปี สามีนางนิสา, บริษัท บ้านขนมทองทิพย์ จำกัด, น.ส.สายทิพย์ โรจน์รุ่งรังสี อายุ 41 ปี กรรมการผู้มีอำนาจ บจก.บ้านขนมทองทิพย์ ซึ่งเป็นบุตรของ นายธงชัย และ นายวินิจ จันทรมณี อายุ 75 ปี กก.ผจก บริษัท ซินหยวน ทราเวล จำกัด และ บริษัทฝูอันฯ เป็นจำเลยที่ 1-13 ในความผิดฐานร่วมกันเป็นอั้งยี่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209 วรรคแรก, พ.ร.บ.ธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ. 2551 และร่วมกันประกอบธุรกิจนำเที่ยวโดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันฟอกเงิน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542
กรณีเมื่อระหว่างวันที่ 24 มี.ค.- 31 ส.ค. 2559 ต่อเนื่องกัน บริษัท ฝูอัน ทราเวล จำกัด นำนักท่องเที่ยวชาวจีนเข้ามาเที่ยวโดยไม่เสียค่าบริการ หรือที่เรียกว่า “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” จากนั้นบริษัท โอเอ ทรานสปอร์ต จำกัด จำเลยให้ใช้รถบัสจำนวน 2,500 คัน รับนักท่องเที่ยวฟรี โดยเป็นผู้กำหนดแผนการเดินทางให้มัคคุเทศก์และผู้ขับขี่นำรถไปจอดให้นักท่องเที่ยวแวะซื้อสินค้าจากร้านในเครือเดียวกับบริษัท โอเอฯ ซึ่งสินค้ามีราคาแพงกว่าท้องตลาดหลายเท่า แสดงฉลากไม่ถูกต้อง เป็นการขูดรีดนักท่องเที่ยว ไม่เป็นการแข่งขันเสรีทางการค้า อำพรางแบ่งปันผลประโยชน์ โดยบริษัท โอเอ ทรานสปอร์ต จำกัด แบ่งปันผลประโยชน์ให้บริษัททัวร์ 30-40%ให้มัคคุเทศก์ 3-5% มีพฤติกรรมลักษณะเป็นขบวนการ แบ่งหน้าที่กันทำ ปกปิดวิธีการอันมิชอบด้วยกฎหมายเพื่อให้ได้มาซึ่งเงินของนักท่องเที่ยวศูนย์เหรียญชาวจีน จนเกิดความ เสียหายมูลค่า 98 ล้านบาทเศษ ทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและภาพลักษณ์ของประเทศเสียหาย
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งหมด
ต่อมาศาลอุทธรณ์ พิพากษาแก้ให้ลงโทษปรับเฉพาะ จำเลยที่ 1, 2 และ 13 รายละ 5 แสนบาท ตาม พ.ร.บ.ธุรกิจนำเที่ยวเเละมัคคุเทศก์ พ.ศ. 2551 มาตรา 24,82 ประกอบ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 นอกจากที่เเก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1, 2 และ 13 ยื่นฎีกา
คดีนี้ศาลอาญาเลื่อนอ่านคำพิพากษา ศาลฎีกามาแล้ว 2 ครั้งเนื่องจาก ทนายความไม่สามารถติดต่อนายสมเกียรติ จำเลยที่ 1 รวมทั้งไม่สามารถส่งหมายนัดให้จำเลยที่ 1 ได้
ในวันนี้จำเลยเดินทางมาศาล ยกเว้นนายสมเกียรติ จำเลยที่ 1
โดยศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือเเล้วเห็นว่าส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า การกระทำของพวกมีลักษณะ ร่วมกันประกอบธุรกิจนำเที่ยวโดยเป็นการตกลงกันเข้าลักษณะเป็นสมาชิกของคณะบุคคล ในการประกอบธุรกิจนำเที่ยว และมีความมุ่งหมายเพื่อหารายได้จากการที่นักท่องเที่ยวมา ซื้อสินค้าแล้วนำรายได้มาแบ่งปันผลประโยชน์กัน การกระทำร่วมกันของจำเลยทั้งสิบสาม จึงเป็นการร่วมกันปกปิดวิธีดำเนินการแก่นักท่องเที่ยว เป็นการกำหนดเส้นทางและสถานที่ ที่จะนำนักท่องเที่ยวไปเที่ยวและให้ไปซื้อสินค้าในร้านของจำเลยที่ 3,5-8 และที่ 11 เท่านั้น มิให้นักท่องเที่ยวรู้ถึงสถานที่อื่น ร้านค้าอื่น ราคาสินค้าและคุณภาพของ สินค้าอื่น หากนักท่องเที่ยวไม่ยินยอมซื้อสินค้าหรือซื้อไม่ได้ตามยอดที่กำหนดหรือซื้อจากร้านอื่น ก็จะบังคับนักท่องเที่ยวด้วยวิธีการต่างๆ จึงเป็นการดำเนินธุรกิจโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพื่อมุ่งหมายให้ได้ผลประโยชน์จากนักท่องเที่ยว เป็นการเอาเปรียบนักท่องเที่ยว ขัดต่อศีลธรรม อันดี และขัดต่อความสงบเรียบร้อย ขัดต่อระเบียบ ข้อบังคับและกฎหมาย ทั้งยังเป็นการ ผูกขาดระบบเศรษฐกิจและระบบอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ร้านค้ารายย่อยไม่มีโอกาสขายสินค้า ชนิดเดียวกันกับร้านค้าของจำเลยที่ 5-8และที่11ให้แก่นักท่องเที่ยว ผู้ประกอบการรายอื่นที่มีเงินทุนน้อยกว่าไม่สามารถแข่งขันได้ ต้องเลิกกิจการ ทำให้ระบบ อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเสียหาย นักท่องเที่ยวต้องซื้อสินค้าในราคาที่สูงกว่าความเป็นจริงหลายเท่าและด้อยคุณภาพ นักท่องเที่ยวจะรู้สึกไม่พอใจกับการท่องเที่ยวในประเทศไทยสร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทย เกิดความเสื่อมโทรมของทรัพยากรแหล่งท่องเที่ยว อันเป็นการกระทำให้เกิดความเสียหายแก่อุตสาหกรรมท่องเที่ยว แหล่งท่องเที่ยว หรือ นักท่องเที่ยวนั้น
เห็นว่า ที่โจทก์ฎีกาดังกล่าวล้วนเป็นการคาดคะเนเอาเองของโจทก์ โดยใช้เพียงข้อมูลที่เกิดจากการรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานต่างๆ ที่ได้มาของเจ้าพนักงาน ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินซึ่งไม่ใช่พยานโดยตรง โดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นที่มีเหตุผลสนับสนุน ตรงกันข้ามทางพิจารณา กลับได้ความว่าจำเลยที่ 1, 3 เเละที่ 13 ต่างประกอบธุรกิจนำเที่ยว ส่วนจำเลยที่ 3-12 ประกอบกิจการการขนส่งคนโดยสารเพื่อให้เช่ารถโดยสาร จำหน่ายสินค้าต่างๆ และของที่ระลึก รวมทั้งธุรกิจร้านอาหาร จำเลยที่ 1, 3 และที่ 13 เคยเช่ารถโดยสารจากผู้ประกอบกิจการการขนส่งรายอื่นด้วย แม้ต่อมาจะ เปลี่ยนเป็นเช่ารถโดยสารจากจำเลยที่ 3 แล้วพานักท่องเที่ยวไปที่ร้านค้าในเครือของจําเลยที่ 3 นอกจากเป็นไปตามโปรแกรมที่กำหนดแล้วยังเป็นการประกอบธุรกิจในลักษณะ เป็นพันธมิตรและเป็นธุรกิจต่างตอบแทนกัน ดังเช่นผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวรายอื่นที่เช่ารถโดยสารจากผู้ประกอบกิจการการขนส่งคนโดยสารรายใด ก็จะกำหนดโปรแกรมที่ต้องพา นักท่องเที่ยวไปร้านค้าในเครือของผู้ประกอบกิจการขนส่งรายนั้น ส่วนโปรแกรมที่นักท่องเที่ยว จากสาธารณรัฐประชาชนจีนต้องไป คือ ร้านจิวเวลรี่ ร้านกระเป๋าหนังจระเข้ ร้านรังนก และร้านยาง ก็เนื่องจากได้รับการบอกกล่าวต่อๆ กัน และเป็นสินค้าประเภทที่นักท่องเที่ยว จากสาธารณรัฐประชาชนจีนส่วนใหญ่นิยมซื้อ ร้านที่จำหน่ายสินค้าประเภทดังกล่าวมีจำนวนมาก มีหลายกลุ่มที่ผู้ประกอบการอันเป็นเครือเดียวกันประกอบธุรกิจทั้งกิจการขนส่ง ร้านค้า จำหน่ายสินค้าต่างๆ และของที่ระลึก รวมทั้งร้านอาหาร หาใช่ผูกขาดมีเฉพาะจำเลยที่ 3 และร้านค้าในเครือจำเลยที่ 3 เท่านั้นไม่ จึงมีการแข่งขันกันสูงแต่ก็เป็นการแข่งขันอย่างเสรี และทางพิจารณาก็ไม่ปรากฏว่าการเลือกและตัดสินใจซื้อสินค้าที่ร้านค้าในเครือของจำเลยที่ มีการบังคับข่มขู่หรือชักจูงใจ ทั้งไม่ปรากฏว่า เป็นสินค้าไม่มีคุณภาพและราคาสูงกว่าปกติมากใน ลักษณะที่เอาเปรียบเกินควร สินค้าแต่ละประเภทมีป้ายติดแสดงราคาไว้ กับมีใบรับประกันและ สามารถนำมาคืนได้ในภายหลัง
สำหรับค่าน้ำหรือค่านำรถเข้าไปจอดหรือค่าคอมมิชชันของ จำเลยที่ 2 และที่ 13 หรือผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวในประเทศไทยรายอื่น กับค่าน้ำ หรือค่าคอมมิชชั่นของมัคคุเทศก์ ก็เป็นธรรมเนียมปฏิบัติมาช้านาน และเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่ต้องการให้นักท่องเที่ยวเข้ามาในร้านค้าจำนวนมาก นักท่องเที่ยวต่างก็มีความพึงพอใจที่ได้เดินทางมาเที่ยวประเทศไทยและซื้อสินค้าที่ร้านในเครือของจำเลยที่ 3 การกระทำ ของจำเลยที่ 1, 2 เเละ 13 จึงมิใช่การร่วมกันประกอบธุรกิจนำเที่ยวหาประโยชน์ ที่ไม่เป็นธรรมจากนักท่องเที่ยว มิใช่การร่วมกันประกอบธุรกิจนำเที่ยวจัดบริการนำเที่ยว ให้แก่นักท่องเที่ยวโดยไม่ได้รับค่าบริการหรือรับค่าบริการในอัตราที่เห็นได้ว่าไม่เพียงพอ กับค่าใช้จ่าย และมิใช่การร่วมกันประกอบธุรกิจนำเที่ยวอันจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่อุตสาหกรรมท่องเที่ยว แหล่งท่องเที่ยว หรือนักท่องเที่ยว
และเมื่อจำเลยที่มิได้เป็นผู้ร่วมกันประกอบธุรกิจนำเที่ยวกับการประกอบธุรกิจนำเที่ยวของจำเลยที่ 1, 2 เเละ 13 จำเลยที่ 3-12 จึงไม่อยู่ในฐานะที่จะร่วมกันประกอบธุรกิจนำเที่ยวหาประโยชน์ที่ไม่เป็นธรรมจากนักท่องเที่ยวร่วมกันประกอบธุรกิจนำเที่ยวจัดบริการนำเที่ยวให้แก่นักท่องเที่ยวโดยไม่ได้รับค่าบริการหรือรับค่าบริการในอัตราที่เห็นได้ว่าไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่าย และร่วมกันประกอบธุรกิจนำเที่ยวอันจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่อุตสาหกรรม ท่องเที่ยว แหล่งท่องเที่ยว หรือนักท่องเที่ยวกับจำเลยที่ 1, 2 เเละ 13 หรือผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวรายใดรายหนึ่งได้ ส่วนการกระทำความผิดฐานอั้งยี่นั้นผู้ที่กระทำต้องเป็นสมาชิกของคณะบุคคลซึ่งปกปิดวิธีดำเนินการและมีความมุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมาย
เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 1, 2 เเละ 13 เป็นสมาชิกของ คณะบุคคลใด มีวิธีดำเนินการและมีความมุ่งหมายใดที่ปกปิดเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมายอย่างใด ทั้งจำเลยที่ 3-12 ไม่อาจร่วมกระทำความผิดต่อ พ.ร.บ.ธุรกิจนำเที่ยว และมัคคุเทศก์กับจำเลยที่ 1, 2 เเละ 13 ได้ การกระทำของจำเลยทั้ง 13 จึงไม่เป็น ความผิดฐานเป็นอั้งยี่ด้วย สำหรับความผิดฐานร่วมกันฟอกเงินนั้น แม้ไม่จำต้องอาศัยความผิดมูลฐาน เป็นเงื่อนไขว่าจะต้องดำเนินคดีอาญาในความผิดมูลฐานหรือมีคำพิพากษาลงโทษผู้กระทำความผิดมูลฐานเสียก่อน จึงจะดำเนินคดีแก่ผู้กระทำความผิดฐานฟอกเงินที่ได้มาจากการกระทำความผิดมูลฐานได้ก็ตาม
แต่เมื่อโจทก์ฟ้องกล่าวอ้างว่าจำเลยทั้งสิบสามร่วมกันกระทำความผิด ฐานร่วมกันเป็นอั้งยี่ซึ่งอ้างว่าเป็นความผิดมูลฐานเอง และข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้ง 13 ร่วมกันกระทำความผิดฐานร่วมกันเป็นอั้งยี่ กรณีจึงไม่มีความผิดมูลฐานอันจะทำให้การกระทำ ของจำเลยที่ 1-12 กับพวก เป็นความผิดฐานร่วมกันฟอกเงินได้ โดยไม่จำต้องพิจารณาว่าจะมีจำเลยคนใดโอนเงินให้บุคคลใด หรือบุคคลใดโอนเงินให้จำเลยคนใด และจำนวนเท่าใดตาม
ที่โจทก์บรรยายฟ้องหรือไม่ พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมาแตกต่างขัดแย้งกันในสาระสำคัญ จึงไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ ไม่สามารถรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 3-12 กับพวกกระทำความผิด ฐานร่วมกันประกอบธุรกิจนำเที่ยวกับการประกอบธุรกิจนำเที่ยวของจำเลยที่ 1, 2, 13 โดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยทั้ง 13 กับพวกร่วมกันกระทำความผิดฐานเป็นอั้งยี่ ฐานร่วมกันประกอบธุรกิจนำเที่ยวหาประโยชน์ที่ไม่เป็นธรรมจากนักท่องเที่ยว ฐานร่วมกันประกอบธุรกิจนำเที่ยวจัดบริการนำเที่ยวให้แก่นักท่องเที่ยวโดยไม่ได้รับค่าบริการหรือรับ ค่าบริการในอัตราที่เห็นได้ว่าไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่าย และฐานร่วมกันประกอบธุรกิจนำเที่ยว อันจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่อุตสาหกรรมท่องเที่ยว แหล่งท่องเที่ยว หรือนักท่องเที่ยว และจำเลยที่ 1-12 กับพวกร่วมกันกระทำความผิดฐานฟอกเงิน
พยานหลักฐาน จำเลยทั้ง 13 และฎีกาของโจทก์ในรายละเอียดประการอื่นไม่จำต้องวินิจฉัย เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกายังไม่เห็นพ้องด้วยบางส่วน ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น ส่วนฎีกาของจำเลยที่ 1,2 เเละ 13 ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ยกฟ้องจำเลยที่ 1, 2 เเละ 13 ในความผิดตาม พ.ร.บ.ธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ. 2551 มาตรา 24, 82 ประกอบ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์