ตร.กองปราบ หอบสำนวน 7 แฟ้ม เห็นควรสั่งฟ้อง ผกก.โจ้ กับลูกน้องใช้ถุงดำคลุมหัวผู้ต้องหาเสียชีวิต ด้านโฆษกอัยการมั่นใจฟ้องศาลได้ทัน 17 พ.ย.นี้
เมื่อเวลา 14.00 น.วันนี้ (3 พ.ย.) ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.แจ้งวัฒนะ นายอิทธิพร แก้วทิพย์ อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญา ในฐานะโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด นายประยุทธ เพชรคุณ รองอธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ ในฐานะรองโฆษก นายปฏิพงษ์ สละสวัสดิ์ รองอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีกิจการอัยการสูงสุด ร่วมกับ พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางรอง (ผบช.ก) พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รองผู้บังคับการปราบปราม ร่วมกันแถลงข่าวการส่งสำนวนสอบสวนคดร พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล อดีต ผกก.เมืองนครสวรคค์ หรือ ผู้กำกับโจ้ กับลูกน้องรวม 7 คน ใช้ถุงดำคลุมหัวผู้ต้องหาคดียาเสพคิดจนถึงแก่ความตาย
นายอิทธิพร เปิดเผยว่า วันนี้ สำนักงานคดีอัยการสูงสุดได้รับสำนวนการสอบสวนจากพนักงานสอบสวน บก.ป. คดีระหว่างน.ส.จันทร์จิรา ธนะพัฒน์ ผู้กล่าวหาที่ 1 พ.ต.อ.สุทธินันท์ คงแช่มดี ผู้กล่าวหาที่ 2 กับ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ อดีตผู้กำกับโจ้ พ.ต.ต.รวีโรจน์ ดิษทอง ร.ต.อ.ทรงยศ คล้ายนาค ร.ต.ท.ธรณินทร์ มาศวรรณา ด.ต.วิสุทธิ์ บุญเขียว หรือ ดาบโบ้ ด.ต.ศุภากร นิ่มชื่น และ ส.ต.ต.ปวีณ์กร คำมาเร็ว ผู้ต้องหาทั้ง 7 คน
ข้อหา “เป็นเจ้าพนักงานของรัฐร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด, เป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด, ร่วมกันฆ่าผู้อื่น นายจิระพงศ์ หรือ มาวิน ธนะพัฒน์ โดยทรมานหรือโดยกระทำทารุณโหดร้ายร่วมกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดไม่กระทำการใดหรือจำยอมต่อสิ่งใดโดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตร่างกายเสรีภาพชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นหรือผู้อื่นหรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้นไม่กระทำการนั้นหรือจำยอมสิ่งนั้น” ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 91, 157, 309 วรรคสอง, 289 (5) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 เหตุเกิดระหว่างวันที่ 5-6 ส.ค. 2564 ที่ห้องทำงานชุดปราบปรามยาเสพติด สภ.เมืองนครสวรรค์ อ.เมือง จ.นครสวรรค์
โดยพนักงานสอบสวนมีความเห็นควรสั่งฟ้อง พ.ต.อ.ธิติสรรค์ หรือ ผู้กำกับโจ้ ผู้ต้องหาที่ 1 กับพวกรวม 7 คน ตามข้อกล่าวหา ชั้นสอบสวนผู้ต้องหาทั้งหมดถูกควบคุม และฝากขังไว้ตามคำสั่งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง โดยผู้ต้องหาที่ 1 และผู้ต้องหาที่ 4 จะครบฝากขังครั้งที่ 6 ในวันที่ 6 พ.ย. 2564 และผู้ต้องหาที่ 2, 3, 5, 6 และ 7 จะครบฝากขังครั้งที่ 6 ในวันที่ 5 พ.ย. 2564 ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 143 วรรคท้ายผู้มีอำนาจสั่งพิจารณาคดีนี้ คือ อัยการสูงสุดโดยคำสั่งอัยการสูงสุดถือว่าเด็ดขาด
นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษก กล่าวว่า สำนวนคดีนี้แยกเป็น 2 ส่วน คือ สำนวนฆ่าผู้อื่นฯ และสำนวนการชันสูตรพลิกศพ ตามกฎหมาย ป.วิอาญา มาตรา 150 วางหลักเกณฑ์ ว่า เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องจะต้องชันสูตรพลิกศพ และทำสำนวนส่งให้พนักงานอัยการจังหวัดนครสวรรค์ ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อไต่สวนการตาย ว่า ผู้ตายเป็นใคร ตายด้วยสาเหตุใด แล้วส่งกลับให้อัยการ เมื่ออัยการพิจารณาแล้วก็ส่งคืนให้พนักงานสอบสวนรวมเข้ากับคดีหลัก แล้วส่งให้อัยการสูงสุดพิจารณาสั่งฟ้อง ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดเพียงคนเดียวเมื่อมีคำสั่งอย่างใด ถือเป็นเสร็จเด็ดขาด
สำหรับหน่วยงานที่มีหน้าที่คัดกรองตั้งเรื่องให้กับอัยการสูงสุด คือ สำนักงานกิจการคดี พิจารณาส่งเรื่องให้อัยการสูงสุด ถ้าในที่สุดมีการยื่นฟ้องคดีต่อศาล ก็จะต้องส่งสำนวนให้สำนักงานอัยการคดีการปราบปรามและประพฤติมิชอบยื่นฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางต่อไป
ส่วนประเด็นที่สังคมห่วงใยว่าอัยการจะยื่นฟ้องคดีไม่ทันตามกำหนดครบฝากขังรวม 84 วัน ในวันที่ 17 พ.ย.นี้
นายประยุทธ กล่าวว่า ไม่ต้องกังวล ผมเชื่อว่า ความเชี่ยวชาญของทีมงานอัยการ โดย นายปฏิพงษ์ สละสวัสดิ์ รองอธิบดีอัยการสำนักงานคดีกิจการอัยการสูงสุด จะสามารถสรุปสำนวนภายในเวลาที่กำหนด โดยจะมีการตั้งคณะทำงานอัยการขึ้นพิจารณา และเสนอความเห็นให้อัยการสูงสุดพิจารณาสั่ง อย่างไรก็ตาม หากอัยการไม่สามารถยื่นฟ้องคดีต่อศาลได้ทันภายในกำหนด ก็จำเป็นต้องปล่อยตัว ผกก.โจ้ กับลูกน้องไปก่อน แต่ทั้งนี้ ตนมั่นใจว่า อัยการยื่นฟ้องคดีทันแน่นอน
พล.ต ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รอง ผบช.ก. กล่าวว่า วันนี้พนักงานสอบสวน ส่งสำนวนการสอบสวน อดีต ผกก.โจ้ กับลูกน้องข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นฯ จำนวน 7 แฟ้ม รวม 2540 แผ่น ซึ่งคณะพนักงานสอบสวนมีความมั่นใจในพยานหลักฐานที่รวบรวมมาทั้งหมด เนื่องจากพนักงานอัยการเข้าร่วมสอบสวนตั้งแต่แรกที่ จ.นครสวรรค์ กระทั่งโอนคดีเข้ามาที่กองปราบปราม เพราะตามกฎหมาย บัญญัติไว้ว่า หากเป็นการตายที่อยู่ระหว่างการควบคุมของพนักงาน หรือตาย เพราะการกระทำของเจ้าพนักงานให้อัยการเข้าร่วมสอบสวนด้วย โดยวันนี้เป็นการส่งสำนวนคดีฆาตกรรมเท่านั้น ส่วนคดีที่เกี่ยวข้องอื่นๆ เช่น คดีนำเข้ารถหรู ก็แยกดำเนินคดีต่างหาก ซึ่งอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวน คงต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง เพราะมีเอกสารจำนวนมาก และมีอีกหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังดำเนินการ