เปิดเหตุผล ก.อ.พลิกผลสอบชุด “กายสิทธิ์ พิศวงปราการ” เป็นให้สอบวินัยร้ายแรง “เนตร นาคสุข” ชี้คดีไม่ชอบมาพากล เกิดความเสียหายกับองค์กรอัยการ ก่อนลงมติ ประธาน ก.อ.สั่งโหวตเปิดเผย
วันนี้ (23 ก.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานกรณีวันที่ 21 ก.ย.ที่ผ่านมา คณะกรรมการ ก.อ. 9 เสียง มีมติเห็นควรสอบสวนวินัยร้ายแรง นายเนตร นาคสุข กรณีสั่งไม่ฟ้อง นายวรยุทธ อยู่วิทยา ขับรถชนคนตาย จากคณะกรรมการชุด นายกายสิทธิ์ พิศวงปราการ ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ เป็นประธานคณะกรรมการสอบสวนวินัย มีความเห็นเสนอที่ประชุม ว่า นายเนตร นาคสุข อดีตรองอัยการสูงสุด ผิดวินัยไม่ร้ายแรง เนื่องจากไม่พบการทุจริต แต่เป็นความบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ เห็นควรงดบำเหน็จหรือไม่เลื่อนขั้นเป็นระยะเวลา 2 ปี และไม่เสนอโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นอัยการอาวุโส
ทั้งนี้ ก่อนการลงมติที่เป็นเสียงเอกฉันต์ให้สอบวินัยร้ายเเรงได้มีกรรมการ ก.อ.อย่างน้อย 3 คน
อภิปรายถึงเหตุผลถึงเหตุที่ควรตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายเเรงนายเนตร โดยรายละเอียดการอภิปรายมีประเด็นดังนี้ คือ ได้มีการตั้งคำถามว่า ข้อพิจารณาเรื่องการมอบอำนาจให้นายเนตรปฏิบัติราชการแทนอัยการสูงสุดชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น นายเนตรจึงมีอำนาจหน้าที่พิจารณาเรื่องร้องขอความเป็นธรรมและมีอำนาจพิจารณาสั่งคดีของสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ คดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา ผู้ต้องหา สั่งสำนวนของนายเนตร นาคสุข เป็นการใช้อำนาจและดุลพินิจที่ชอบด้วยกฎหมาย หรือไม่มีความผิดทางวินัยเพียงใด เเละประเด็นรายงานการสอบข้อเท็จจริงชุดของนายวิชา มหาคุณ มีการระบุว่า พนักงานอัยการไม่ทราบชื่อและอัยการสูงสุดได้เข้าไปเกี่ยวข้องพยานหลักฐานในส่วนนี้คืออะไร ได้มีการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมไปยังคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงชุดนายวิชา แล้วหรือไม่ การไม่รับฟังรายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริงชุดนี้ควรกระทำด้วยความรอบคอบ
ซึ่งทางผู้อภิปรายเห็นว่า เนื่องจากไม่เคยมีระเบียบหรือหนังสือเวียนที่เป็นการกำหนดการดำเนินการสั่งคดีที่มีการร้องขอความเป็นธรรมไว้อย่างชัดแจ้งมีเพียงระเบียบการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2548 ข้อ 48 ก็กำหนดเพียงวิธีการสั่งคดีที่มีการร้องขอความเป็นธรรมเมื่อมีพิจารณาคำร้องร้องขอความเป็นธรรมพนักงานอัยการก็จะสั่ง 1. สอบสวนเพิ่มเติมหรือ 2. สั่งยุติการพิจารณาคำร้องขอความเป็นธรรมกรณีที่เห็นว่ามีเหตุอันควรสั่งสอบสวนเพิ่มเติมตามที่ร้องขอความเป็นธรรมก็ดำเนินการไป
แต่กรณีที่พนักงานอัยการเห็นว่าเป็นการร้องขอความเป็นธรรมซ้ำซ้อนในประเด็นเดิมที่ได้เคยมีการพิจารณาไปแล้ว หรือปราศจากพยานหลักฐานใหม่ก็จะพิจารณาว่าการร้องขอความเป็นธรรมลักษณะนี้เป็นไปเพื่อประวิงคดีให้ล่าช้าพนักงานอัยการก็จะสังยุติการพิจารณาคำร้องขอความเป็นธรรม เมื่อมาพิจารณาการดำเนินการของนายเนตรในการสั่งสำนวน ส.1 ซึ่งเป็นการร้องขอความเป็นธรรมเข้ามาถึง 14 ครั้ง อัยการสูงสุดถึง 2 ท่านได้สั่งยุติการพิจารณาคำร้องขอความเป็นธรรมไปแล้วพยานหลักฐานที่ร้องขอความเป็นธรรมครั้งที่ 14 ก็เป็นพยานหลักฐานเดิมที่ปรากฏอยู่แล้วในสำนวน พยานปาก พล.อ.ท.จักรกฤช ถนอมกุลบุตร และ นายจารุชาติ มาดทอง ไม่ใช่พยานหลักฐานใหม่แต่อย่างใด
การที่ นายเนตร เลือกรับฟังข้อเท็จจริงในประเด็นความเร็วของรถยนต์จากคำให้การของพยานทั้งสองปาก ทั้งๆ ที่ยังมีความเห็นแตกต่างในประเด็นความเร็วรถโดยไม่สอบสวนเพิ่มเติมให้ได้ข้อยุติชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นดังกล่าวอัยการสูงสุดถึง 2 ท่าน ได้เคยพิจารณาเป็นที่ยุติไปแล้ว และพนักงานอัยการตามลำดับชั้นก็พิจารณาเห็นพ้องกันตลอดสายให้ยุติการพิจารณาเรื่องร้องขอความเป็นธรรม แต่ นายเนตร กลับเลือกรับฟังพยานหลักฐานดังกล่าวพร้อมทั้งกลับคำสั่งเป็นสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหา
กรณีเป็นการใช้ดุลยพินิจตามอำเภอใจ ขัดต่อ พ.ร.บ.องค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ. 2553 มาตรา 21 ที่ระบุว่าพนักงานอัยการมีอิสระในการพิจารณาสั่งคดีและการปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปโดยรวดเร็วเที่ยงธรรมและปราศจากอคติทั้งปวง การสั่งคดีของนายเนตร จึงเป็นความผิดฐานไม่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความระมัดระวังเป็นเหตุให้เสียหายแก่ทางราชการตาม พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ. 2553 มาตรา 64
เเละกรณีดังกล่าวถือเป็นประมาทเลินเล่อในหน้าที่ราชการ หรือปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหรือระเบียบของทางราชการ อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง ตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ. 2553 มาตรา 85
อย่างไรก็ตาม เห็นควรตั้งเป็นข้อสังเกตว่าการพิจารณาการใช้ดุลพินิจของนายเนตร ในครั้งนี้ไม่ควรถูกหยิบยกมาอ้างอิงความเป็นอิสระในการสั่งคดีของพนักงานอัยการโดยทั่วไปเพื่อเป็นหลักประกันความชอบธรรมของกระบวนการยุติธรรม ความมีอิสระในการพิจารณาสั่งคดีจะต้องอยู่ในกรอบของความเที่ยงธรรมด้วยมิฉะนั้นจะข้ามเส้นแบ่งกลายเป็นการใช้ดุลพินิจตามอำเภอใจ
สำนวนของสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ คดี นายวรยุทธ อยู่วิทยา กล่าวได้ว่า มีลักษณะเป็น Exceptional Case ซึ่งมีความไม่ชอบมาพากลนับครั้งไม่ถ้วนนับ แต่เริ่มกระบวนการสอบสวนมีความพยายามช่วยเหลือผู้ต้องหา มาโดยตลอดแม้จะถูกเฝ้ามองและเป็นที่จับตาของสังคมเป็นอย่างมาก ก็ยังมีการร้องขอความเป็นธรรมเข้ามาถึง 14 ครั้ง อัยการสูงสุดถึง 2 ท่าน ได้สั่งยุติการพิจารณาคำร้องขอความเป็นธรรมไปแล้วก็ยังมีความพยายามใช้ดุลพินิจรับฟังพยานและพิจารณาสำนวนที่ข้อเท็จจริงยังไม่เสร็จสิ้นกระแสความ ไม่พิจารณาด้วยความละเอียดรอบคอบ ทั้งๆ ที่ นายเนตร เป็นผู้มีประสบการณ์สูงในการดำเนินคดีอาญาย่อมต้องทราบดีว่าพยานหลักฐานที่เลือกรับฟังมีความน่าสงสัยเป็นอย่างมาก
แม้จะไม่ปรากฏข้อเท็จจริงหรือพยานที่ชัดเจนว่ามีการเรียกรับผลประโยชน์ในทางมิชอบหรือกระทำโดยทุจริต ก็เป็นเพราะไม่มีอำนาจตรวจสอบเส้นทางการเงินและปราศจากผู้กล่าวหา แต่ได้ก่อให้เกิดความเคลือบแคลงต่อการใช้ดุลพินิจดังกล่าวต่อสังคมเป็นวงกว้างกระทบถึงองค์กรอัยการและกระบวนการยุติธรรม “เสียหาย” ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตแปลว่าเสื่อมเสียย่อยยับพังทลายความเสียหายเป็นคำนามไม่มีบทนิยามในทางกฎหมายแพ่งหรืออาญา เพราะมีความชัดเจนในตัวเองอยู่แล้วในทางกฎหมายวางหลักเพียงว่าความเสียหายเป็นตัวเงินและความเสียหายที่มิใช่ตัวเงินอันเป็นมูลฐานในการคำนวณค่าเสียหายที่เกิดขึ้น
แม้ต่อมาคดีนี้จะได้มีการสั่งฟ้อง นายวรยุทธ อยู่วิทยา ผู้ต้องหาที่ 1 ในฐานความผิดดังกล่าวข้างต้น และมีการออกหมายจับผู้ต้องหาที่ 1 แล้วก็ตามซึ่งหากคดีนี้ไม่ได้เป็นข่าวใหญ่ที่ประชาชนทั้งประเทศติดตาม และให้ความสนใจก็คงไม่มีการออกคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อตรวจสอบคดีดังกล่าว จนกระทั่งมีการกลับคำสั่งไม่ฟ้องของนายเนตร เป็นคำสั่งฟ้องและออกหมายจับผู้ต้องหาแต่อย่างใด ดังนี้ ย่อมแสดงให้เห็นเด่นชัดว่าการสั่งไม่ฟ้องของนายเนตร เป็นการเสียหายแก่ทางราชการอย่างยิ่งและทำให้ภาพลักษณ์องค์กรเสียหายอย่างร้ายแรงเสื่อมศรัทธาต่อประชาชนทั่วทั้งประเทศ ดังนั้น การที่คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงความเห็นว่าการกระทำของนายเนตรฯ เป็นความผิดวินัยไม่ร้ายแรงจึงไม่ชอบด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย
หลังจากนั้น นายพชร ยุติธรรมดำรง ประธาน ก.อ.ก็ให้มีการลงมติเปิดเผยโดยการยกมือ ผลปรากฏเป็นเอกฉันท์ 9 เสียง