รายการ “ถอนหมุดข่าว” ทาง NEWS1 โดย นพรัฐ พรวนสุข บก.ข่าวการเมืองและกระบวนการยุติธรรม เครือผู้จัดการ วันที่ 21 ก.ย.64 นำเสนอรายงานพิเศษ เปิดลับ หลวงพี่โอ่ง วัดท่าพุ พระใหญ่ ใจนักเลง นักบุญหรือเจ้าขุมนรก!?
นายจีรพันธ์ แสงขาว หรือ “หมอปลา” มือปราบสัมภเวสีคนดัง คราวนี้ไม่ได้พาไปปราบผีสางนางไม้ หากอัพเลเวล พาไปทัวร์ชมนรกกันเลยทีเดียว
แต่เป็น “นรกบนดิน” ที่หมอปลา live สดให้ชมถึงที่ ใครที่ได้ตามไปดู ก็อึ้งตามๆ กัน
นรกบนดินที่ว่านั้น คือศูนย์บำบัดผู้ติดยา ของวัดท่าพุราษฎร์บำรุง อ.ด่านมะขามเตี้ย จ.กาญจนบุรี ซึ่งมี “หลวงพี่โอ่ง” เป็นเจ้าอาวาส
สิ่งที่ผู้คนเห็นผ่านการเปิดโปงของหมอปลา คือ ผู้ติดยาที่ถูกขังแออัดยัดทะนานรวมๆกันในที่แคบๆ จำนวนถึง 216 คน
พวกเขาเหล่านั้น พอเห็นว่ามีคนมาช่วย ก็เหมือนกับสวรรค์โปรด พากันร้องเรียนถึงความทุกข์ยากในศูนย์บำบัดการติดยาต่างๆ นานา
ทั้งที่มีจำนวนคนกว่า 200 คน แต่ทางศูนย์มีห้องน้ำไว้รองรับแค่ 2 ห้อง ให้รับประทานอาหารแค่ 2 มื้อ
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีการทุบตีทำร้ายร่างกาย โดยเจ้าหน้าที่ที่ควบคุมดูแลพวกตน จนมีคนเสียชีวิตไปแล้วถึง 3 ราย
ค่าใช้จ่ายในการบำบัดก็ไม่ใช่ถูกๆ โดยทางวัดเรียกเก็บค่าแรกเข้า 1 ปี เป็นเงิน 12,000 บาท
ต้องจ่ายค่าดูแลรายเดือน 2,000 บาท
ใครทนทุกข์กับความไม่สะดวกสบายนานัปการ ท่ามกลางความแออัดขัดสนของเรือนนอนรวม ก็สามารถซื้อความสะดวกให้ตัวเองได้ง่ายๆ ด้วยการยอมโกนหัวบวชเป็นพระ
แต่ใครจะบวชเพื่อหนีนรกบนดิน ไปขึ้นสวรรค์อันสะดวกสบายในกุฏิ ก็ต้องจ่ายมาอีก 20,000 บาท
หรือถ้าใครทนไม่ไหวจริงๆ แล้วก็ไม่คิดจะยอมจ่ายเพิ่มเพื่อบวช ก็สามารถขอออกจากศูนย์เพื่อกลับบ้านได้ แต่ก็ต้องจ่ายอีกเช่นกัน เป็นเงิน 10,000 บาท ค่าซื้ออิสรภาพ
อย่างไรก็ตาม การบุกนรกบนดินของหมอปลา และคณะครั้งนี้ ได้เกิดเหตุแทรกซ้อนไม่คาดฝันขึ้น เมื่อหลวงพี่โอ่ง เจ้าอาวาสวัดท่าพุ เกิดมรณภาพก่อนหมอปลาจะมาถึงแค่ 15 นาที
ท่ามกลางความอาลัยของบรรดาลูกศิษย์ และผู้มีจิตศรัทธาทั้งหลาย เนื่องจากหลวงพี่โอ่ง ก็มีภาพเป็นนักพัฒนา เป็นผู้ก่อตั้งมูลนิธิพิทักษ์กาญจน์ ซึ่งมีผลงานด้านอาสากู้ภัยทั้งทางบกและทางน้ำ ในเมืองกาญจน์ โดยมีศูนย์แยกย่อยไปในหลายๆ อำเภอของกาญจนบุรีด้วย
หน่วยข่าวในพื้นที่ตรวจสอบปูมหลังความเป็นมาของหลวงพี่โอ่ง พบว่าไม่ธรรมดา ก่อนจะมาบวช หลวงพี่โอ่ง เป็น “นักเลงวังเย็น” ในเขต อ.เมืองกาญจนบุรี มีชื่อเสียงในทางนักบู๊ผู้โชกโชน
พี่ชายของหลวงพี่โอ่ง ก็เป็นเจ้าอาวาสวัดวังเย็น ชื่อว่าหลวงพ่อแดง
ต่อมา หลวงพี่โอ่งบวชพระแล้ว มาจำวัด ที่วัดท่าพุราษฎร์บำรุง ที่เป็นวัดเก่าแก่ใน อ.ด่านมะขามเตี้ย และไต่เต้าจนขึ้นมาเป็นพระครูปลัดประสิทธิ์ ลตินธโร และดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาส ก็จัดตั้งมูลนิธิพิทักษ์กาญจน์ขึ้นมา
ทั้งนี้ บรรดานักเลงขาใหญ่ทั้งหลายในเมืองกาญจน์ มีแนวทางอย่างหนึ่งที่คล้ายคลึงกัน ชอบเปิดมูลนิธิการกุศลบังหน้า เพื่อสร้างภาพปกปิดด้านมืดของตัวเองที่ผ่านมา
อีกด้าน หลวงพี่โอ่งมีปัญหาด้านสุขภาพ มีโรคต่างๆ รุมเร้า เนื่องจากมีน้ำหนักตัวร้อยกว่ากิโลกรัม เวลาจะเดิน ต้องมีคนประคอง ส่วนเวลาขึ้นลงรถ ก็ต้องไปอยู่ที่กระบะหลังรถ โดยมีคนคอยอุ้มขึ้นลงตลอด
ว่ากันว่า หลวงพี่โอ่งตั้งมูลนิธิพิทักษ์กาญจน์ ก็เพื่อจะได้มีเจ้าหน้าที่อาสา มาคอยช่วยเหลือตัวเองด้วย นอกเหนือจากไปช่วยชาวบ้าน
หน่วยข่าวระบุด้วยว่า มีการดึงนักเลงหัวไม้ วัยรุ่นขาโจ๋มาช่วยงานในศูนย์บำบัดด้วย เพราะถ้าคนคุมไม่แน่จริง ก็เอาผู้บำบัดติดยาไม่อยู่ จึงกลายเป็นการซ่องสุมกำลังพล กลายๆ
พอทราบข่าว หมอปลาพาทนายความ กำลังบุกมาลุยวัด หลวงพี่โอ่งที่ร่างกายอ่อนแอเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เกิดความเครียดจัดจนมรณภาพกะทันหัน ทั้งที่อายุก็ไม่มาก แค่ 40 กว่าปีเท่านั้น
เรียกว่า หลวงพี่โอ่ง พลาดการประจัญหน้ากับมือปราบสัมภเวสีคนดัง อย่างเฉียดฉิว
หลังมีเรื่องอื้อฉาวขึ้นมา ทางการก็เริ่มตรวจสอบความถูกต้องต่างๆ ในการขออนุญาตเปิดเป็นศูนย์บำบัด รวมถึงแนวทางการปฏิบัติต่อผู้บำบัด ว่ามีการละเมิดข้อกฎหมายอะไรบ้าง
ดูแล้ว นรกบนดินแห่งนี้ ก็คงถึงคราวเอวัง ไปตามเจ้าอาวาสผู้ก่อตั้ง ค่อนข้างแน่