รายการ “ถอนหมุดข่าว” ทาง NEWS1 โดย นพรัฐ พรวนสุข บก.ข่าวการเมืองและกระบวนการยุติธรรม เครือผู้จัดการ วันที่ 1 ก.ย.64 นำเสนอรายงานพิเศษ ย้อนรอย...คดีอุ้มฆ่า (2) จาก “ป๋าลอ” ถึง “โจ้จอมโหด” ฆาตกรรมอำพรางหนีผิด
ย้อนรอย...คดีอุ้มฆ่า คดีฆ่าแม่ลูกศรีธนะขัณฑ์ ที่ทีฆาตกรตำรวจอำมหิตคือ พ.ต.ท.พันศักดิ์ มงคลศิลป์ เป็นหัวหน้าทีมอุ้มฆ่า ในทางสืบสวนทราบว่า ประวัติการก่ออาชญากรรมของ พ.ต.ท.พันศักดิ์ มีมาอย่างโชกโชนยาวนาน หรือกล่าวได้ว่าเป็นตำรวจโจรสายพันธุ์แท้ ที่กลับรับราชการ มีตำแหน่งหน้าที่การงานที่ดี
ก่อนมาก่อคดีอุ้มฆ่าสองแม่ลูก ก็สำแดงความเหนือชั้น ในการอุ้มฆ่า ส.ท.โน้ต น้อยเล็ก มือปืนจอมโหดแห่งเมืองชล พร้อมลูกสมุน รวมถึงมีคดีอุ้มฆ่าอื่นๆ อีกหลายคดี เช่น อุ้มฆ่ากำนันประเชิญ บุญปราโมทย์ อุ้มฆ่านางศรีนุช บุญทวี ภรรยา ส.จ.ปราจีนบุรี เป็นต้น
เมื่อพ้นโทษคดีสองแม่ลูกออกมา ในชื่อ “นายพันศักดิ์” อดีตตำรวจนักฆ่าคนนี้ ก็เลือกจะเดินต่อไปบนเส้นทางอาชญากร หรือทำมาหากินสุจริตไม่เป็นเสียแล้ว
เพียงปีเดียวที่ก้าวจากกำแพงคุก เขาก็ก่อคดีอุ้มฆ่าอีกครั้ง เหตุเกิดเมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2556 พันศักดิ์กับลูกทีมโจร ก่อเหตุรับจ้างอุ้มฆ่านายชัยชนะ หมายงาน “เสี่ยอ้วน โรงเกลือ” นักธุรกิจดังแห่งตลาดโรงเกลือ จ.สระแก้ว
นำศพไปเผานั่งยางในป่ายูคาลิปตัส เขตรอยต่อ จ.ปราจีนบุรี-สระแก้ว เพื่อทำลายหลักฐาน
แต่เทคโนโลยีการสืบสวนสมัยใหม่ เป็นสิ่งที่ตำรวจโจรตกยุคอย่างเขาตามไม่ทัน จึงถูกจับกุมได้อย่างรวดเร็ว พร้อมพยานหลักฐานจากกล้องวงจรปิด มัดตัวดิ้นไม่หลุด
ต่อมาวันที่ 29 พ.ค. 2558 ศาลจังหวัดสระแก้ว มีคำพิพากษาให้ประหารชีวิต พันศักดิ์ มงคลศิลป์
แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ เป็นการอ่านคำพิพากษาลับหลัง เนื่องจากนายพันศักดิ์ล่องหนหายตัวไปแล้ว หลังจากได้ประกันตัวในชั้นศาล
เรื่องน่าแปลกใจจากยี่ห้อพันศักดิ์ มงคลศิลป ยังไม่จบแค่นั้น ทั้งที่หนีคดีไป โดยมีคำพิพากษาประหารชีวิตเป็นชนักปักหลัง เขากลับก่อคดีซ้ำอีกหน ในวันที่ 30 ก.ย. 2561
คราวนี้เปลี่ยนจากการอุ้มฆ่าอันเป็นงานถนัด มาสวมวิญญาณเป็นมือปืนรับจ้าง ลงมือด้วยตัวเอง
พันศักดิ์บุกยิงนายประชา วรทัต อายุ 52 ปี เสี่ยเจ้าของปั๊มน้ำมันศรีสุวรรณรุ่งเรือง ในเขต อ.เมืองสระแก้ว เสียชีวิต ส่วนนางปาลิดา วรทัต อายุ 49 ปี ภรรยา บาดเจ็บ โดยเป็นการลงมืออุกอาจกลางปั๊มน้ำมันของผู้ตาย
ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกับคดีอุ้มฆ่าเสี่ยอ้วน โรงเกลือ ตำรวจสืบรู้ว่าเป็นฝีมือเขา และจับกุมนายพันศักดิ์ ในวัย 62 ปี ได้อย่างรวดเร็ว คราวนี้พ่วงด้วยภรรยาของนายพันศักดิ์ คือ นางธนพร สุขโขจัย อายุ 50 ปี ที่ร่วมทีม เป็นครอบครัวนักฆ่าด้วย
ทุกวันนี้ พันศักดิ์ มงคลศิลป์ กลับไปใช้ชีวิตในเรือนจำ โดยที่ไม่มีใครล่วงรู้อนาคต จะมีอะไรเซอร์ไพรส์น่าแปลกใจจากอดีตตำรวจนักฆ่า ออกมาเขย่าระบบของกระบวนการยุติธรรมอีกหรือไม่
ย้อนไปยังคดีอุ้มฆ่าสองแม่ลูกเพชรซาอุฯ มีบางสิ่งบางอย่างที่คล้ายคลึงกับคดีผู้กำกับโจ้คือ ตำรวจตกเป็นผู้ต้องหา และมีหมอนิติเวช กระทำการที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ต้องหา
ผู้การนิติเวชในขณะนั้น พล.ต.ต.นพ.ทัศนะ สุวรรณจูฑะ เปิดแถลงผลการพิสูจน์ศพสองแม่ลูกถึง 2 รอบ แทบจะนั่งยันนอนยันว่า เป็นการเสียชีวิต เนื่องจากรถเบนซ์ที่นั่งมา ถูกรถบรรทุกชน
ทั้งที่รถเบนซ์แค่ถูกเฉี่ยวชน เกิดความเสียหายภายนอกเพียงเล็กน้อย แม้แต่ภายในห้องโดยสาร ก็มีสภาพสมบูรณ์ ไม่มีส่วนใดบุบสลาย
ขัดแย้งสวนทางกับสภาพศพของทั้งสอง ที่มีบาดแผลถูกของแข็งตีอย่างรุนแรงบริเวณศีรษะ และพบกระดูกหักหลายส่วนด้วย
คำแถลงบิดเบือนผลผ่าพิสูจน์ศพดังกล่าว ถูกจับได้ไล่ทัน นำมาสู่การเด้งผู้การนิติเวชพ้นจากตำแหน่ง
กล่าวได้ว่าการใช้อำนาจมืดเกินเลยของตำรวจ อยู่คู่สังคมไทยมานานแล้ว
น่าสงสัยเช่นกันว่า ในบรรดาคดีการตายปริศนาของเหล่าผู้ต้องสงสัย ที่เงียบหายไปกับสายลม หมอได้เข้าไปมีส่วนในการปล่อยคนกระทำผิดให้ลอยนวลหรือไม่?
เอกสารหนังสือรับรองการตาย ที่ลงนามโดย นพ.ณัฐพงษ์ ตุลาพันธุ์ หัวหน้ากลุ่มงานนิติเวช รพ.สวรรค์ประชารักษ์ จ.นครสวรรค์ อาจกลายเป็นหลักฐานเด็ดที่ผู้กำกับโจ้ใช้ในการต่อสู้คดีในวันข้างหน้า
ทั้งนี้ มีรายงานข่าวระบุด้วยว่า ในวันเกิดเหตุ ผู้กำกับโจ้ที่สั่งลูกน้องให้นำร่างไร้สติของเหยื่อส่งโรงพยาบาล ได้ปลอบลูกน้องด้วยถ้อยคำประมาณว่า กลัวเหี้ยอะไร เงินซื้อได้ทุกอย่าง!
คำถามคือ เงินที่ว่านั้น ผู้กำกับโจ้เอาไปซื้ออะไร? และซื้อใคร?