MGR Online - กองปราบจับสองแม่ลูก “แก๊งจอมโจรโคตรปลอมยุค 4จี” อ้างสนิท รอง ผบช.ก.หลอกปั่นหัวเหยื่อทั้งครอบครัว ตุ๋นเงินกว่า 2.6 ล้าน
วันนี้ (25 ส.ค.) ที่ กองปราบปราม เมื่อเวลา 10.00 น. พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช รอง ผบช.ก. พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม ผบก.ป. พ.ต.อ.วิวัฒน์ จิตโสภากุล ผกก.3 บก.ป. และเจ้าหน้าที่ บก.ปอท. ร่วมกันแถลงผลปฏิบัติการล่า “คริส” (The Scammer) จอมโจรโคตรปลอมยุค 4G หลังเข้าตรวจค้นเป้าหมายจำนวน 5 จุด ในพื้นที่ อ.หนองแค จ.สระบุรี จนสามารถจับกุมผู้กระทำผิดได้ 2 ราย คือ น.ส.สุนันทินี สาเกทอง อายุ 33 ปี และ น.ส.รัชนี สกุลเอื้อ อายุ 63 ปี ตามหมายจับศาลอาญาธนบุรีที่ จ.343 และ จ.344 /2564 ตามลำดับ ลงวันที่ 16 ก.ค. 2564 ข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกง โดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น” พร้อมของกลางโทรศัพท์มือถือ 4 เครื่อง, แท็บเล็ต 1 เครื่อง, คอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง, สมุดบัญชี 1 เล่ม, บัตรเอทีเอ็ม 1 ใบ และเอกสาร ซึ่งน่าเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดอีกจำนวนหนึ่ง
พล.ต.ต.สุวัฒน์ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 26 มิ.ย.ที่ผ่านมา ได้มีผู้เสียหายเข้ามาร้องขอความเป็นธรรมหลังถูกกลุ่มมิจฉาชีพนำภาพดาราสาวชาวต่างชาติมาแอบอ้างตั้งเป็นรูปโปรไฟล์ชื่อ “Chrysilla Celandina Celia” เข้ามาตีสนิท ก่อนสร้างเรื่องราวว่าตนเองมีฐานะร่ำรวย ประกอบอาชีพเป็นนางแบบ อาศัยอยู่ต่างประเทศ มีความสนิทสนมกับข้าราชการตำรวจระดับผู้บัญชาการ เป็นหลานของนักธุรกิจยานยนต์ย่านสาทร เป็นเพื่อนกับพนักงานอัยการ และ รู้จักกับทนายความชื่อดังหลังจากนั้นคนร้ายก็จะแชทพูดคุยกันก่อนยุยง ปลุกปั่น สร้างเรื่องราว ปลอมแปลงแชท ตัดต่อคลิปเสียง เพื่อหลอกลวงคนในครอบครัวผู้เสียหายเกิดความบาดหมาง หวาดระแวงกันเอง เพื่อจะได้ทราบความเคลื่อนไหวของทุกคนในครอบครัว
พล.ต.ต.สุวัฒน์ กล่าวต่อว่า เมื่อกลุ่มมิจฉาชีพทราบว่า พ่อของผู้เสียหายขับรถยนต์ไปข้างนอก จึงออกอุบายเป่าหูเหยื่อว่า รถถูกนำไปจำนำในตลาดมืด แต่ตนเองสามารถไถ่ถอนรถคืนมาได้ พร้อมกับส่งภาพเล่มทะเบียนรถ และเอกสารการจำนำรถที่จัดทำปลอมขึ้นส่งให้กับผู้เสียหายดู พร้อมกับพูดจาโน้มน้าว จนผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินค่าไถ่ถอนรถยนต์ เข้าบัญชีของผู้ต้องหาเป็นเงินกว่า 1,530,000 บาท นอกจากนี้ยังได้สร้างเรื่องหลอกลวงว่าบิดาของผู้เสียหายติดการพนันอย่างหนัก และได้ออกอุบายให้นำเงินมาเก็บไว้ที่ผู้ต้องหา จนเหยื่อหลงเชื่อ โอนเงินเข้าบัญชีของผู้ต้องหาตามที่แนะนำ จำนวน 1,110,000 บาท
ด้าน พ.ต.อ.วิวัฒน์ กล่าวว่า นอกจากนี้ ผู้ต้องหายังได้สร้างเรื่องใส่ความบิดาของผู้เสียหายว่าเป็นคนไม่ดี เนื่องจากได้ส่งของมีค่าและของแบรนด์เนมหลายชิ้น อาทิ นาฬิกาหรูมูลค่ากว่า 2 ล้านบาท มาให้ผู้เสียหาย แต่ถูกบิดาของผู้เสียหายลักขโมยไป พร้อมทั้งอ้างว่าได้ไปแจ้งความตำรวจท้องที่ไว้แล้ว โดยนำเอกสารราชการที่ทำปลอมขึ้นมาส่งให้กับทางผู้เสียหายดูเพื่อให้สมจริง เพื่อจะข่มขู่เรียกเงินค่าเคลียร์คดีจำนวน 9 แสนบาท รวมถึงยังมีการแอบอ้างว่ามีความสนิทสนมกับข้าราชการตำรวจระดับสูง ปลอมแปลงข้อความเสียงที่พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจจนทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อ โอนเงินให้ก่อนจำนวน 50,000 บาท ส่วนที่เหลือผู้เสียหายได้ขอผ่อนชำระเป็นรายเดือน พร้อมกับทำสัญญากู้ยืมเงินจำนวน 850,000 บาท ขึ้นมา รวมมูลค่าความเสียหาย 2.6 ล้านบาท
พ.ต.อ.วิวัฒน์ กล่าวต่อว่า หลังจากผู้เสียหายตกลงทำสัญญากู้เงินแล้ว ผู้ต้องหาได้ทำการปลอมเอกสารเอกสารราชการของศาลและอัยการ ทำทีว่าได้มีการฟ้องร้องผู้เสียหายต่อศาลแพ่ง ปลอมแปลงหมายเรียกและหมายจับของศาลขึ้นทั้งฉบับ ตัดต่อคลิปเสียง อ้างว่ามีเจ้าหน้าที่เข้าไปทำการติดตามจับกุมผู้เสียหายที่บริเวณหน้าบ้านพัก ปลอมเอกสารของบริษัทที่ผู้เสียหายทำงานอยู่ โดยแอบอ้างว่าจะมีเจ้าหน้าที่จะเข้ามาติดตามจับกุมผู้เสียหายภายในที่ทำงาน จนเป็นเหตุให้ครอบครัวของผู้เสียหายเสื่อมเสียชื่อเสียง และได้รับความเสียหายถึงขั้นสิ้นเนื้อประดาตัว เนื่องจากผู้ต้องหาใช้อุบายหลอกลวงเอาเงินเก็บในวัยเกษียณของครอบครัวผู้เสียหายไปจนหมด
พ.ต.อ.วิวัฒน์ ยังกล่าวอีกว่า ด้วยพฤติการณ์เหล่านี้ถือเป็นภัยต่อสังคมและเศรษฐกิจ เพื่อป้องกันมิให้ประชาชนคนอื่นๆ ตกเป็นเหยื่อกลุ่มมิจฉาชีพกลุ่มนี้อีก จึงสนธิกำลังร่วมกับ บก.ปอท. และ สน.ภาษีเจริญสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน โดยใช้เวลานานร่วม 2 เดือน จึงสามารถสาวไปถึงตัวผู้กระทำผิดและนำไปสู่การเปิดปฏิบัติการตามล่าจับกุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 คน ซึ่งเป็นแม่ลูกกันได้ดังกล่าว ทั้งนี้จากการตรวจสอบพบเคยมีประวัติถูกดำเนินคดีในลักษณะเดียวกันนี้มาก่อนในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกง” ที่ สภ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี เมื่อปี พ.ศ. 2553 แต่สามารถหลบหนีการจับกุมจนกระทั่งหมายจับหมดอายุความในปี พ.ศ.2563 ก่อนจะมาก่อเหตุดังกล่าว เบื้องจากการสอบสวน ผู้ต้องหาทั้ง 2 คนยังคงให้การปฏิเสธ แต่ทางเจ้าหน้าที่ไม่ปักใจเชื่อจึงนำตัวส่ง สน.ภาษีเจริญ ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
รายงานข่าวแจ้งว่า จากการตรวจสอบพยานหลักฐานต่างที่ตรวจยึดได้ พบว่า ผู้ต้องหาได้มีการตัดต่อรูปภาพของผู้บังคับบัญชาระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานอัยการ และหน่วยงานราชการอื่นๆ ไว้ด้วยกันหลายรูปภาพ ซึ่งหนึ่งในนั้นมีรูปภาพของ พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช รอง ผบช.ก. ที่ถูกตัดต่อขึ้นมาทำให้ดูเหมือนว่ารู้จักกัน จึงน่าเชื่อได้ว่าผู้ต้องหาอาจมีการใช้ภาพตัดต่อดังกล่าวเหล่านี้ แอบอ้างสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่ตนเองเพื่อใช้ในการหลอกลวงเหยื่อ นอกจากนี้ ยังพบว่า มีการเปิดบัญชีแอปพลิเคชันไลน์ เฟซบุ๊ก และแอปพลิเคชันหาคู่ แชทพูดคุยกับเหยื่อทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติรวมกว่า 100 คน ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้ทำการตรวจสอบข้อมูลโดยละเอียดต่อไป