อัยการช่วยไกล่เกลี่ย ร.ร.สารสาสน์ฯราชพฤกษ์-ผู้ปกครองนักเรียนถูกพี่เลี้ยงครูทำร้าย สำเร็จ 14 ราย ส่วนผู้ปกครองอีก 8 ราย ตกลงกันไม่ได้ เหตุ ร.ร.รับไม่ไหว ผู้ปกครองเรียกค่าเสียหายเยอะ ต้องไปฟ้องคดีแพ่งให้ศาลชี้ขาด
กรณีสำนักงานอัยการสูงสุดมอบหมายสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคุ้มครองผู้บริโภค สำนักงานคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชน (สคช.) ดำเนินการให้ความช่วยเหลือด้านอรรถคดีแก่ผู้ปกครองนักเรียนโรงเรียนสารสาสน์วิเทศราชพฤกษ์ เกี่ยวกับการฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่งจากการที่นักเรียนถูกครูและครูพี่เลี้ยงกระทำทารุณกรรม โดย สคช.จัดให้มีการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทหลายครั้ง
ล่าสุด เมื่อวันที่ 4 ส.ค.ที่ผ่านมา นายชัยพร เกริกกุลธร อธิบดีอัยการสำนักงานคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชน (สคช.) เปิดเผยว่า ตามที่คณะผู้ปกครองนักเรียนโรงเรียนสารสาสน์วิเทศราชพฤกษ์ จำนวน 22 ราย ได้ยื่นหนังสือต่ออัยการสูงสุด เมื่อวันที่ 5 ต.ค. 2563 ขอให้ดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทและช่วยเหลือทางคดีแพ่งเพื่อดำเนินการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายกับโรงเรียนสารสาสน์วิเทศราชพฤกษ์ โดยบริษัท แสงเงินพัฒนาการ จำกัด เจ้าของและผู้ดำเนินการโรงเรียน
สคช. ได้แต่งตั้งคณะทำงานให้ความช่วยเหลือเด็กนักเรียนและผู้ปกครองโดยจัดให้มีการไกล่เกลี่ยประนอมข้อพิพาททางแพ่งระหว่างคู่กรณีขึ้น โดยได้เชิญผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ จากกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน รวมทั้งการประสานทนายความอาสาของสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคุ้มครองผู้บริโภค (สฝคผ.) ให้เข้าร่วมหารือและให้คำแนะนำแก่คณะผู้ปกครองในการไกล่เกลี่ยรวม 8 ครั้ง แต่ยังคงมีผู้ปกครองนักเรียน 8 ราย ที่ไม่สามารถเจรจาตกลงกันได้ จนต่อมาเมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 2564 โรงเรียนสารสาสน์วิเทศราชพฤกษ์ โดย บริษัท แสงเงินพัฒนาการ จำกัด ได้มีหนังสือถึง สคช. เพื่อแจ้งขอยุติการไกล่เกลี่ยประนอมข้อพิพาททางแพ่ง ด้วยเหตุว่าที่ประชุมของบริษัทฯ ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า บริษัทฯ ไม่สามารถดำเนินการกำหนดค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ปกครองนักเรียนได้ เนื่องจากไม่มีเอกสารเกี่ยวกับประวัติการรักษาทางการแพทย์และเอกสารอื่นใดในการประกอบการพิจารณาของบริษัทฯ จึงขอให้ผู้เสียหายดำเนินการใช้สิทธิทางกฎหมายต่อไป
แม้ว่าต่อมาจะได้มีคำสั่งให้ยุติการให้ความช่วยเหลือไกล่เกลี่ยประนอมข้อพิพาทตามหนังสือฉบับดังกล่าว เนื่องจากถือว่าเป็นกรณีที่มีเหตุตามระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชน พ.ศ. 2562 แล้วก็ตาม แต่ สคช. ยังคงเล็งเห็นว่ากรณีที่ผู้ปกครองเรียกร้องค่าเสียหายจากการที่นักเรียน ถูกครูและครูพี่เลี้ยงกระทำทารุณกรรมนั้นเป็นคดีทางแพ่ง และเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา และเป็นกรณีที่มีเหตุจำเป็นหรือเหตุอันสมควรที่สำนักงานอัยการสูงสุดจะรับไว้ช่วยเหลือได้ ตามระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุด ว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชน พ.ศ.2562 ข้อ 32 (2) (ข) ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์สูงสุดแก่เด็ก ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 มาตรา 22 ที่บัญญัติว่า “การปฏิบัติต่อเด็กไม่ว่ากรณีใดให้คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นสำคัญและไม่ให้มีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม” จึงได้มอบหมายให้สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคุ้มครองผู้บริโภค (สฝคผ.) รับไปดำเนินการให้ความช่วยเหลือด้านอรรถคดีแก่ผู้ปกครองทั้ง 8 ราย โดยจัดทนายความอาสาของ สฝคผ. เข้าช่วยเหลือเพื่อให้คำแนะนำปรึกษาการฟ้องคดีต่อศาล ตลอดจนการดำเนินกระบวนพิจารณาในชั้นศาลจนกว่าคดีจะถึงที่สุดต่อไป ภายใต้การกำกับดูแลของอัยการพิเศษฝ่ายคุ้มครองผู้บริโภค โดยผู้ปกครองไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด