xs
xsm
sm
md
lg

ศาลยุติธรรม ชี้คดี"ลุงวิศวะ"โมโห ป้องกันตัวเกินกว่า ต้องรายงานตัวคุมประพฤติ ทุก 3 เดือน ชำระค่าปรับ 2,000 บาท

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


นายสุเทพ โภชนสมบูรณ์ หรือลุงวิศวะ จำเลยคดียิงคนตาย
ศาลยุติธรรม อธิบายคำพิพากษา คดี"ลุงวิศวะ"โมโห ป้องกันตัวเกินกว่า ชักปืนยิงเด็กม.4 ตาย จะต้องรายงานตัวคุมประพฤติทุก 3 เดือน ชำระค่าปรับ 2,000 บาท หากเบี้ยวอาจถูกยึดทรัพย์

วันนี้ (18 มิ.ย.) นายศุภกิจ แย้มประชา รองเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม อธิบายกระบวนการอ่านคำพิพากษาและขั้นตอนการบังคับคดีตามผลคำพิพากษาถึงที่สุด คดีนายสุเทพ โภชนสมบูรณ์ หรือ ("ลุงวิศวะ") ซึ่งเป็นคดีที่ประชาชนสนใจว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 27 ก.ย.2561 ศาลจังหวัดชลบุรีซึ่งเป็นศาล
ชั้นต้นพิพากษาให้นายสุเทพ โภชนสมบูรณ์ ("ลุงวิศวะ") มีความผิดฐานพกพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านและทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุอันสมควร โดยไม่ได้รับอนุญาต และใช้อาวุธปืนยิงผู้อื่นถึงแก่ความตาย โดยศาลไม่เชื่อว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามข้อต่อสู้ของจำเลย แต่เนื่องจากจำเลยมิได้มีจิตใจเหี้ยมโหดเยี่ยงโจรผู้ร้าย เพียงแต่ขาดสติยับยั้งชั่งใจในการควบคุมตน จำเลยยิงปืนไปเพียง 1 นัด หลังเกิดเหตุมิได้หลบหนีไปไหน และยอมรับกับเจ้าพนักงานตำรวจในทันทีว่าเป็นคนยิงผู้ตาย ประกอบกับ ผู้ตายมีส่วนร่วมในการกระทำความผิด เห็นสมควรลงโทษจำเลยสถานเบา ฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา จึงวางโทษจำคุก 15 ปี

ซึ่งเป็นอัตราโทษขั้นต่ำที่สุดตามกุฎหมายในความผิดฐานฆ่าผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ลดโทษให้ 1ใน 3 คงจำคุก 10 ปี ฐานพาอาวุธปืนฯ ปรับ 4,000 บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงปรับ 2,000 บาท รวมจำคุก 10 ปี และปรับ 2,000 บาท ให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 340,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันยื่นคำร้องขอเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่ญาติผู้ตายซึ่งเป็นผู้ร้อง

จำเลยอุทธรณ์ว่าการที่จำเลยฆ่าผู้ตายนั้นไม่เป็นความผิดเพราะเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย

กระทั่งวันที่ 10 ต.ค.2562 ศาลจังหวัดชลบุรีนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ภาค 2 ให้คู่ความฟัง ซึ่งการให้ศาลขั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลชั้นอุทธรณ์ให้จำเลยฟังแทนเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 209 โดยศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น โดยยังคงไม่เชื่อว่าการกระทำของจำเลย
เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย

ต่อมาจำเลยยื่นฎีกาว่า การฆ่าผู้ตายไม่เป็นความผิดเพราะเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายมีข้อน่าพิจารณาว่าในคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 จะไม่ปรากฎเรื่องการรอหรือไม่รอการลงโทษ เนื่องจากโทษจำคุกที่ทั้งสองศาลลงแก่จำเลยคือ จำคุก 10 ปี จึงไม่อยู่ในเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56 ที่ให้ดุลพินิจศาลในการรอการลงโทษหรือรอการกำหนดโทษเฉพาะคดีที่จะลงโทษ จำคุกไม่เกิน 5 ปีเท่านั้น

จากนั้นวันที่ 12 พ.ค.2564 ศาลจังหวัดชลบุรีนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ซึ่งการให้ศาลขั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้คู่ความฟังแทนเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 225 ประกอบ มาตรา 209 ซึ่งจะเป็นการอำนวยความสะดวกแก่คู่ความที่จะไม่ต้องเดินทางมายังศาลฎีกาที่กรุงเทพมหานคร ใน
วันนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาครั้งแรก จำเลยไม่มาศาลโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้อง จึงมีเหตุสงสัยว่าจำเลยหลบหนีหรือจงใจไม่มาฟังคำพิพากษา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 182 วรรคสาม ศาลไม่อาจอ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลยไปในวันนั้นได้ ต้องออกหมายจับจำเลยเพื่อเอาตัวมาฟังคำพิพากษาเสียก่อน โดยหากออกหมายจับแล้วจับจำเลยไม่ได้ภายใน 1 เดือน จึงจะอ่านคำพิพากษาได้ คดีนี้ศาลจังหวัดชลบุรีจึงออกหมายจับจำเลยเพื่อให้มาฟังคำพิพากษาศาลฎีกา โดยเลื่อนนัดอ่านคำพิพากษาไปเป็นวันที่ 17 มิ.ย.ที่ผ่านมา อันเป็นเวลาหลังจากวันที่ออกหมายจับ 1 เดือนเศษ

ดังนั้นในวันที่ 17 มิ.ย. 2564 เจ้าพนักงานตำรวจยังไม่สามารถจับกุมจำเลยมาศาลได้ และจำเลยไม่เดินทางมาศาลด้วยตนเอง ศาลจังหวัดชลบุรีจึงมีอำนาจอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาลับหลังจำเลยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 182 วรรคสามที่กล่าวมาข้างต้น โดยศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการที่จำเลยฆ่าผู้ตายเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 69 ซึ่งเมื่อเป็นกรณีดังกล่าว ศาลฎีกาก็มีอำนาจที่จะกำหนดโทษในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาให้น้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนดไว้เพียงใดก็ได้ ซึ่งในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 กฎหมายกำหนดอัตราโทษจำคุกขั้นต่ำก่อนลดโทษไว้ที่ 15 ปี ในคดีนี้ศาลฎีกาพิพากษาแก้เป็นว่า ฐานฆ่าผู้อื่นโดยป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ วางโทษจำคุก 5 ปี ลดโทษให้ 1 ใน 3 และเมื่อรวมกับโทษในความผิดฐานพาอาวุธปืนแล้ว รวมจำคุก 3 ปี 4 เดือน และปรับ 2,000 บาท เมื่อโทษจำคุกที่จะศาลฎีกาจะลงแก่จำเลยไม่เกิน 5 ปี จึงเข้าเกณฑ์ ที่ศาลฎีกาอาจจะรอการลงโทษหรือรอการกำหนดโทษจำคุกได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ซึ่งศาลฎีกาใช้ดุลพินิจวินิจฉัยในประเด็นนี้ว่าโทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 3 ปี คุมความประพฤติ 2 ปี รายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 3 เดือน ให้จำเลยไปเข้ารับการฝึกอบรมที่เกี่ยวกับการระงับควบคุมอารมณ์ที่เกิดจากการใช้รถใช้ถนนและให้ทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์มีกำหนด 30 ชั่วโมง โดยศาลฎีกาให้เหตุผลประกอบการใช้ดุลพินิจในการกำหนดโทษเช่นนี้ เนื่องจากไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับโทษจำคุกมาก่อน และเหตุที่เกิดขึ้นผู้ตายก็มีส่วนผิดด้วย การรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยน่าจะเป็นประโยชน์แก่จำเลยและสังคมโดยรวมมากกว่าการโดยเมื่อมีการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาตามกฎหมาย ซึ่งมีผลว่าจำเลยทราบคำพิพากษาของศาลฎีกาแล้ว

ขั้นตอนต่อไปจำเลยต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกา แม้ว่าโทษจำคุกจะรอการลงโทษไว้ แต่จำเลยก็ยังมีหน้าที่ไปพบพนักงานคุมประพฤติ กระทรวงยุติธรรม เข้ารับการอบรม และกระทำกิจกรรมบริการสังคมตามคำสั่งศาล หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามเงื่อนขคุมประพฤติดังกล่าวก็เป็นหน้าที่ของพนักงานคุมประพฤติที่ต้องรายงานศาล ซึ่งหากได้ความว่าจำเลยยังหลบหนีแล้วไม่ไปพบพนักงานคุมประพฤติ ก็จะถูกศาลออกหมายจับมาบังคับตามคำพิพากษาต่อไป ซึ่งการบังคับตามคำสั่งศาลที่ให้คมประพฤติ ด้วยวิธีการออกหมายจับจะเป็นไปตามหลักเกณฑ์พ.ร.บ.คุมประพฤติ พ.ศ.2559 มาตรา 32 วรรคสอง ส่วนค่าปรับหากจำเลยไม่ชำระก็อาจถูกยึดทรัพย์ชำระค่าปรับได้แม้จะหลบหนีไปก็ตาม สำหรับคดีส่วนแพ่งเป็นเรื่องที่ญาติผู้ตายในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาต้องดำเนินการร่วมกับเจ้าพนักงานบังคับคดี กรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม


กำลังโหลดความคิดเห็น