MGR Online - ดีเอสไอจับกุมหนุ่มใหญ่เจ้าของเรือประมง ผู้ต้องหาในคดีค้ามนุษย์ข้ามชาติ หลอกชาวกัมพูชาบังคับใช้แรงงาน ก่อนหลบหนีออกมาได้
วันนี้ (1 พ.ค.) พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยว่า วานนี้ (30 เม.ย.) พ.ต.ท.สุภัทธ์ ธรรมธนารักษ์ รองอธิบดีดีเอสไอ พ.ต.ต.สิริวิชญ์ ชาญเตชะสิทธิ์กุล ผู้อำนวยการกองคดีการค้ามนุษย์ และ พ.ต.ท.จักรกฤษณ์ วิเศษเขตการณ์ ผู้อำนวยการกองปฏิบัติการพิเศษ พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่ส่วนคดีการค้ามนุษย์ 3 กองคดีการค้ามนุษย์ และศูนย์สืบสวนสะกดรอยและการข่าว กองปฏิบัติการพิเศษ ได้สนธิกำลังกันเข้าจับกุมชายไทย อายุ 45 ปี เจ้าของเรือ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาในความผิดฐานสมคบกันกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ ร่วมกันแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากการบังคับใช้แรงงานบนเรือประมง
พ.ต.ท.กรวัชร์ เผยว่า กรณีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษที่ 14/2562 กรณีหลอกลวงแรงงานชาวกัมพูชาไปบังคับใช้แรงงานบนเรือประมงในน่านน้ำสหพันธรัฐมาเลเซีย กล่าวคือ เมื่อปี พ.ศ. 2558 แรงงานชาวกัมพูชาได้เดินทางเข้ามาในประเทศไทยเพื่อหางานทำ ต่อมาได้เร่ร่อนมาที่บริเวณท่าเรือสะพานปลา จ.สมุทรปราการ และได้ถูกนายหน้าชาวกัมพูชาหลอกลวงให้ทำงานในเรือประมง โดยแจ้งว่าเป็นงานที่สบายและได้ค่าตอบแทนเป็นรายเดือน แต่เมื่อตอบตกลงและทำงานตามที่พูดคุยกันแล้ว ได้ถูกพาไปส่งให้กับเจ้าของเรือ และปรากฏว่า สภาพการทำงานเป็นไปอย่างยากลำบาก อีกทั้งตลอดระยะเวลาที่ทำงานบนเรือประมงไม่เคยได้รับค่าจ้างจากการทำงานดังกล่าวแต่อย่างใด และยังถูกยึดเอกสารประจำตัวเอาไว้อีกด้วย
“นอกจากนี้ ยังถูกบังคับให้ทำงานบนเรือประมงหลายลำในน่านน้ำสหพันธรัฐมาเลเซีย โดยถูกไต้ก๋งเรือประมงกักขังหน่วงเหนี่ยวไม่ให้ขึ้นฝั่งเป็นเวลานานเกือบ 2 ปี และยังถูกบังคับให้ทำงานต่อเนื่องตลอดทั้งวัน โดยได้นอนเพียงวันละ 4 ชั่วโมง และหากทำงานไม่เสร็จ จะไม่ได้รับประทานอาหาร อีกทั้งยังเคยถูกไต้ก๋งทำร้ายร่างกายและคอยกลั่นแกล้งเป็นประจำ เช่น การเอาน้ำเทใส่ในจานอาหาร เป็นต้น โดยเมื่อขอลาออก ไต้ก๋งเรือกลับไม่อนุญาตให้ลาออก”
พ.ต.ท.กรวัชร์ เผยอีกว่า จนกระทั่งเดือน ก.พ. 60 ตำรวจมาเลเซียได้ลาดตระเวน พบว่า ใบอนุญาตของเรือประมงลำดังกล่าวหมดอายุ จึงได้กลับขึ้นฝั่งที่ท่าเรือตันหยง มานิส สหพันธรัฐมาเลเซีย และเมื่อหลบหนีออกจากท่าเรือได้แล้ว จึงเข้าขอความช่วยเหลือจากองค์การยุติธรรมนานาชาติ (IJM) ซึ่งดีเอสไอได้รับเรื่องไว้เป็นคดีพิเศษ และพนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้ทำการสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานร่วมกับพนักงานอัยการในฐานะเป็นความผิด ซึ่งมีโทษตามกฎหมายไทยได้กระทำลงนอกราชอาณาจักรไทย จนกระทั่งมีการขออำนาจศาลอาญาอนุมัติหมายจับดังกล่าว