ศาลอุทธรณ์ยืนยกฟ้อง “สันธนะ” อดีตตำรวจสันติบาล กับลูกน้อง 11 คน คดีกรรโชกทรัพย์ตลาดใหม่ดอนเมือง ชี้ยังไม่ชัดเจนว่าจำเลยกรรโชกทรัพย์ผู้เสียหาย
เมื่อเวลา 10.00 น.วันนี้ (22 เม.ย.) ที่ห้องพิจารณา 806 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำ อ.1951/2561 ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 8 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสันธนะ หรือ พ.ต.ท.สันธนะ ประยูรรัตน์ (ถูกถอดยศเมื่อวันที่ 24 ต.ค. 2561) อดีตรอง ผกก. สันติบาล 2 ในฐานะประธานที่ปรึกษา บริษัท พัฒนาตลาดใหม่ดอนเมือง จำกัด, นายชนะโชติ หรือตั๋ม สุขสุคนธ์, นายวรรณชัย หรือแก้ว ใจเรือง, นายวันเพ็ญ ผิวดำดี, นายสิริชัย หรือชัย เหล่ากุลประสิทธิ์, นายประนอม หรือนอม แก้วสวัสดิ์, นายกฤษณะ หรือตั้ม หลำรอด, นายคเณศ หรือต้น เปรมครุฑ, นายอดิศักดิ์ หรือโต้ง จันทร์ศรี, นายอนุชา หรือทอม วรเดช และนายอนุ หรือตุ๋ย สุขสุคนธ์ ซึ่งเป็นพนักงานตลาดลูกน้องของนายสันธนะ เป็นจำเลยที่ 1-11 ในความฐานความผิดร่วมกันกรรโชกทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.337 และความผิดฐานซ่องโจร ตาม ม.210 จำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ
อัยการยื่นฟ้องจำเลยระบุพฤติการณ์ว่า ระหว่างเดือน ม.ค.-เม.ย. 2559 จำเลยทั้ง 11 ได้สมคบกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป จับกลุ่มปรึกษากันและตกลงกันเพื่อจะไปร่วมกันกรรโชกทรัพย์ผู้เสียหาย 19 ราย ซึ่งเป็นผู้ค้าในตลาดใหม่ดอนเมือง โดยพวกของจำเลยแบ่งออกเป็นกลุ่มประมาณ 3-5 คน ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปที่ร้านค้า มีการเรียกเก็บเงินรายเดือนจากผู้ค้าขายที่เช่าพื้นที่ในตลาดใหม่ดอนเมืองประมาณร้านละ 1,000-3,000 บาทต่อเดือน รวมทั้งค่าจอดรถยนต์อีกเดือนละ 700 บาท รถจักรยานยนต์ 300 บาท ซึ่งจะเรียกเก็บเงินดังกล่าวทุกเดือนในปลายเดือน โดยพวกจำเลยมีพฤติกรรมลักษณะข่มขู่คุกคามผู้ค้าขายจนทำให้เกิดความหวาดกลัว หากไม่ยอมจ่ายเงินและอาจทำให้เกิดความเดือดร้อนในการค้าขาย แต่ละรายหลายคราว หลายกรรมต่างกัน ร่วมกันกรรโชกทรัพย์รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 750,000 บาท โดยพวกจำเลยให้การปฏิเสธ ขอต่อสู้คดี
คดีนี้ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 17 ธ.ค. 2562 พิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งหมด เนื่องจากพิเคราะห์พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาแล้วเห็นว่า พยานโจทก์ไม่มีน้ำหนักรับฟังได้ว่าผู้เสียหายมอบเงินให้แก่กลุ่มของจำเลยอันเนื่องมาจากการบังคับขู่เข็ญ ถูกข่มขืนใจ หรือถูกประทุษร้ายแต่อย่างใด จึงไม่อาจพิพากษาลงโทษพวกจำเลยได้ ต่อมาอัยการโจทก์ยื่นอุทธรณ์ ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษพวกจำเลยด้วย
วันนี้นายสันธนะ กับลูกน้องที่เป็นจำเลยทั้ง 11 คน เดินทางมาศาลฟังคำพิพากษา
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า จำเลยทั้ง 11 ร่วมกันกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ สำหรับความผิดข้อหาร่วมกันเป็นซ่องโจร โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานนำสืบให้เห็น ไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง ส่วนข้อหาร่วมกันกรรโชกทรัพย์ โจทก์มีผู้เสียหายเบิกความทำนองเดียวกันว่า ก่อนปี 2559 ผู้บริหารชุดเก่ามีการเรียกเก็บเงินเป็นค่าใช้จ่ายส่วนอื่น นอกจากค่าเช่า ไฟฟ้า จอดรถ เก็บขยะ และน้ำประปา หากไม่ชำระเงินจะถูกล็อกกุญแจประตูร้านและถูกทำลายทรัพย์สิน ในแต่ละเดือนจำเลยที่ 2-11 จะแบ่งกลุ่มกันไปที่ร้านค้าเพื่อเก็บเงิน พูดว่าเก็บเงินไปให้นายเพื่อเป็นค่าอำนวยความสะดวก หากไม่จ่ายเงินจะไม่ให้การคุ้มครอง และหากเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบริษัทจะไม่รับผิดชอบ
เห็นว่า ผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยาน แม้คำเบิกความจะสอดคล้องกัน จะทำให้เข้าใจได้ว่าจำเลยที่ 2-11 เก็บเงินจากผู้เสียหายตามใบรับเงิน โดยแสดงท่าทางข่มขู่ ผู้เสียหายเกิดความกลัวจึงยอมจ่ายเงินก็ตาม แต่ผู้เสียหายกลับเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านในทำนองเดียวกันว่า ขณะจำเลยที่ 2-11 เข้าไปเก็บเงิน ไม่มีการข่มขู่ ไม่มีการพกพาอาวุธ และที่เบิกความว่าหากใครไม่ชำระเงินจะถูกนำกุญแจมาล็อกประตูร้าน ทรัพย์สินเสียหาย รถยนต์ถูกขูดขีดนั้น เป็นเรื่องเล่ากันมาและเป็นการกระทำของผู้บริหารตลาดกลุ่มเดิม จำเลยที่ 2-11 ไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำดังกล่าว ไม่มีใครเคยเห็นจำเลยข่มขู่หรือทำร้ายบรรดาผู้ประกอบการค้าในตลาด
หลังจากจ่ายเงิน ปรากฏว่าผู้เสียหายขยายร้านค้า พูดคุยยิ้มทักทายกับจำเลย เคยเล่นฟุตบอลด้วยกัน จำเลยช่วยติดตามคนร้ายลักทรัพย์ในตลาด ผู้ค้าในตลาดไปร่วมงานศพลูกสาวของจำเลยที่ 10 เคยช่วยยกของและร่วมรับประทานอาหาร พฤติการณ์ของผู้เสียหายที่แสดงออกต่อจำเลยที่ 2-11 ทำให้เห็นได้ว่า ผู้เสียหายดังกล่าวประกอบการค้าอยู่ในตลาดอย่างปกติสุขมิได้กลัวเกรงจำเลย ผู้ค้าในตลาดเบิกความทำนองเดียวกัน จำเลยเรียกเก็บเงินโดยไม่มีการข่มขู่ ไม่มีอาวุธ การจ่ายเงินเข้าใจว่าเป็นค่าส่วนกลางเอาไว้ใช้จ่ายจ้างพนักงานรักษาความปลอดภัย พนักงานทำความสะอาด และจัดกิจกรรมของตลาด
เหตุตามฟ้องเกิดขึ้นตั้งแต่เดือน เม.ย. 2559 ผู้ประกอบการค้าในตลาดใหม่ดอนเมืองมีกลุ่มไลน์ ไม่มีผู้ใดเคยกล่าวถึงเรื่องถูกจำเลยข่มขู่กรรโชกทรัพย์ ในการประชุมผู้ประกอบการค้าก็ไม่มีผู้ใดพูดคุยถึงเรื่องนี้ ทั้งไม่มีใครเคยแจ้งความต่อตำรวจว่าถูกจำเลยข่มขู่กรรโชกทรัพย์มาก่อน ผู้เสียหายให้การต่อพนักงานสอบสวนหลังถูกจับกุมดำเนินคดีข้อหาลักลอบจำหน่ายสินค้าผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง ครีมบำรุงผิว และอาหารเสริมโดยฝ่าฝืนกฎหมาย มิใช่ให้การในทันทีตามวันเวลาที่โจทก์ฟ้องว่ามีการกรรโชกทรัพย์
พยานโจทก์เบิกความใบรับเงินเป็นการเรียกเก็บเงินค่าพนักงานรักษาความปลอดภัยและค่าพนักงานทำความสะอาด หลังจากตำรวจเข้าตรวจค้นไม่มีการเก็บเงินส่วนนี้ ทำให้ไม่มีเงินจ่ายค่าจ้างพนักงานรักษาความปลอดภัย จำเลยที่ 2-11 ต้องไปทำหน้าที่โบกรถแทนพนักงานรักษาความปลอดภัย พยานหลักฐานโจทก์มีความสงสัยตามสมควรว่า จำเลยทั้ง 11 ร่วมกันกรรโชกทรัพย์ผู้เสียหายตามฟ้องหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยทั้ง 11 ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน
นายสันธนะเปิดเผยหลังฟังคำพิพากษาว่า โล่งใจตั้งแต่แรก ทุกคนบริสุทธิ์แน่นอนศาลพิสูจน์แล้ว ขอสังคมให้โอกาส หลังจากนี้จะดำเนินการแน่นอนต่อ 2 องค์กร คือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ต้องรับผิดชอบ เพราะใช้ช่องทางกฎหมายแจ้งข้อหาตนกับพวกเพื่อให้เข้าความผิดมูลฐานฟอกเงิน มายึดอายัดทรัพย์ เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องแล้ว ความผิดมูลฐานต้องตกไป จะฟ้องกลับใครบ้างนั้นกำลังพิจารณา แบ่งเป็นระดับนายพล นายพันขึ้นไป ส่วนนายฮ้อยระดับเด็กๆ ก็ตักเตือน