“ข่าวลึกปมลับ” ออกอากาศทาง NEWS1 ล้วงปมลึก คลายปมลับ ตีแผ่ประเด็นร้อน กับ นพรัฐ พรวนสุข บก.ข่าวการเมือง และกระบวนการยุติธรรม วันพุธที่ 21 เมษายน 2564 ตอน ส.ว.วันชัย สอนพระ เปิดเกมเขย่า ภูเขาทอง!?
ประเด็นข่าววงการสงฆ์ที่กลายเป็นเรื่องวิพากษ์วิจารณ์ และควรสนใจว่าสุดท้ายจะลงเอยอย่างไร คือเมื่อช่วงวันสงกรานต์ที่ผ่านมา ที่พระอุโบสถวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ได้มีการประกอบพิธีเจริญชัยมงคลคาถา ในโอกาสพระภิกษุอธิษฐานครองผ้าไตรจีวรรับเข้าหมู่สงฆ์ หรือพิธีการบวชพระใหม่ 5 รูป โดยมีคณะสงฆ์วัดสระเกศฯ เข้าร่วมพิธี 5 พระใหม่ในพิธีวันนั้น แท้จริงแล้วเป็นอดีตพระเถระที่เคยเป็นผู้ต้องหาในคดีทุจริตงบประมาณอุดหนุนโรงเรียนปริยัติธรรมและงบประมาณเผยแผ่ศาสนาของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) หรือคดีเงินทอนวัด ประกอบด้วย
อดีตพระพรหมสิทธิ หรือนายธงชัย สุขโข อดีตพระราชาคณะเจ้าคณะรอง อดีตเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ และอดีตกรรมการมหาเถรสมาคม พร้อมด้วยอดีตพระราชกิจจาภรณ์, อดีตพระราชอุปเสณาภรณ์, อดีตพระศรีคุณาภรณ์ และอดีตพระครูสิริวิหารการ
พิธีบวชพระครั้งนี้ เนื่องจากคณะสงฆ์วัดสระเกศฯ เห็นว่า ควรบวชอดีตพระเถระทั้ง 5 รูปให้เข้ากลับคืนหมู่คณะสงฆ์วัดสระเกศฯนั้น ด้วยที่เห็นว่าในคำพิพากษาของศาลระบุว่าไม่พบความทุจริต จึงถือว่าไม่ได้มีความผิดเข้าข่ายอาบัติปาราชิก ต้องทำให้พ้นจากความเป็นสงฆ์แต่อย่างใด
ตลอดจนในช่วงการสืบคดีของศาลก็มีบันทึกยืนยันระบุชัดเจนว่า อดีตพระเถระทั้ง 5 รูปต่อสู้คดีขณะครองสมณเพศ แม้ว่าหลังจากที่ศาลมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ประกันตัวในระหว่างต่อสู้คดี ถูกทางเจ้าหน้าที่ได้นิมนต์พระผู้ใหญ่มาทำพิธีลาสิกขาบท ก่อนเปลี่ยนใส่ชุดสีขาว และถูกไปควบคุมตัวที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร แล้วก็ตาม
อย่างไรก็ดี คล้อยหลังจากนั้นไม่กี่วัน ก็มีความเห็นจากฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย ซึ่งมองว่า อดีตพระเถระวัดสระเกศฯทั้ง 5 รูป ไม่สามารถบวชใหม่ได้ และอาจกระทำผิดอาญาฐานแต่งตัวเลียนแบบสงฆ์อีกด้วย
โดย นายวันชัย สอนศิริ สมาชิกวุฒิสภา ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ศิลปะและวัฒนธรรม วุฒิสภา ได้ระบุว่า การที่อดีตพระพรหมสิทธิวัดสระเกศและคณะ รวม 5 คน ทำพิธีเอาจีวรมาห่มแล้วชยันโตกันในพระอุโบสถวัดสระเกศ เป็นข่าวกันเอิกเกริก
เป็นการบังอาจกระทำการกันกลางวันแสกๆ ต่อหน้าธารกำนัล ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายใดๆ เป็นการท้าทายอำนาจรัฐ ท้าทายอำนาจสงฆ์ ไม่มีใครกล้าทำอะไร เสมือนหนึ่งว่าบ้านเมืองไม่มีขื่อไม่มีแป บิดเบือนข้อเท็จจริง ทำให้ชาวพุทธเกิดสับสนว่าใครผิดใครถูกกันแน่
เปิดฉากก็ใส่เต็มเหนี่ยว แล้ว ส.ว.วันชัย ได้หยิบยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ ในคดีทุจริตเงินทอนวัดที่ตัดสินว่า ผู้ต้องหาทั้ง พระสงฆ์ และฆราวาส เป็นเจ้าพนักงานร่วมกันกระทำผิดเบียดบังยักยอกเอาทรัพย์ของหลวงไปใช้ มิได้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ลงโทษไปแต่ละบุคคล ติดคุกมากน้อยต่างกันไป
ส่วนพระสงฆ์ก็มีความผิดเช่นกัน ให้รอลงอาญาไว้ ไม่ได้หมายความว่าไม่ติดคุก ไม่ผิด จากนี้ ส.ว.วันชัยก็ขึ้นธรรมาสน์ ชี้แจงว่าความผิดครั้งนี้เป็นเรื่องเบียดบังยักยอกเงิน ซึ่งในธรรมวินัยระบุว่า หากกระทำผิดเรื่องลักทรัพย์ เบียดบัง ยักยอกเรื่องเงิน ถือเป็นปาราชิก ขาดจากความเป็นพระแล้ว จะเปล่งวาจาลาสิกขาหรือไม่ ไม่สำคัญ
ที่สำคัญอดีตพระเหล่านี้ถูกจับสึก ถอดยศปลดตำแหน่ง มหาเถรสมาคม รับทราบแล้วถึงการขาดจากความเป็นพระทั้งหมดแล้ว ส.ว.วันชัย ให้ความเห็นย้ำไว้อีกว่า
“ความจริงก็คือผิด แต่ศาลท่านได้เมตตารอลงอาญาไว้เท่านั้น”
ส่วนจะฎีกาได้หรือไม่เป็นอีกขั้นตอนหนึ่ง และเมื่อขาดจากความเป็นพระเพราะต้องอาบัติปาราชิก บวชใหม่ไม่ได้ เอาจีวรมาห่มก็คือการแต่งกายเลียนแบบพระสงฆ์ เป็นความผิดกฎหมายอาญา
สำหรับคดีเงินทอนวัด ถือเป็นคดีใหญ่ที่สั่นสะเทือนวงการพระพุทธศาสนาเมืองไทย เกิดขึ้นช่วงกลางปี 2560 ที่ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ร่วมกับ กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการทุจริตและประพฤติมิชอบ หรือ ปปป. นำกำลังเข้าตรวจค้นจับกุมผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งอดีตผู้อำนวยการสำนักพุทธฯ และพระเถระชั้นผู้ใหญ่หลายรูป
อันเริ่มมาจากการเข้าร้องเรียนของเจ้าอาวาสวัดแห่งหนึ่งใน จ.เพชรบุรี จนมีการเปิดโปงขบวนการทุจริตโกงเงินครั้งมโหฬาร มูลค่าความเสียหายหลายร้อยล้านบาท
สำหรับ อดีตพระพรหมสิทธิ ได้ถูกจับกุมเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2561 ก่อนถูกยื่นฝากขัง และศาลได้มีคำสั่งไม่ให้ประกันตัว เพราะคดีมีอัตราโทษสูง พฤติการณ์การกระทำความผิดมีผลกระทบต่อพุทธศาสนาและมีลักษณะเป็นขบวนการ ผู้ต้องหาอาจจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน
วันนั้น เจ้าหน้าที่ พศ.และเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ได้ถอดจีวร อดีตพระพรหมสิทธิ เปลี่ยนเป็นชุดขาว และคุมตัวไปขังยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯทันที
โดยในวันเดียวกันนั้นได้มีพระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมถอดถอนสมณศักดิ์ อดีตพระพรหมสิทธิ และพระเถระรวม 7 รูป พร้อมกับ สมเด็จพระสังฆราช ที่ทรงมีพระบัญชาให้ พระพรหมสิทธิ พ้นจาก กรรมการมหาเถรสมาคม ทันที
กว่าที่ อดีตพระพรหมสิทธิ จะได้รับการประกันตัว ก็เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2562 โดยศาลตีราคาหลักประกัน 2.5 ล้านบาท
ส่วนคดี ได้มีการฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ เมื่อเดือน ตุลาคม 2561 เป็นคดีหมายเลขดำ อท.251/2561
คดีดังกล่าวมีจำเลย 5 ราย โดย 4 รายเป็นฆราวาส นำโดย นายพนม ศรศิลป์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (ผอ.พศ.) เป็นจำเลยที่ 1 ส่วนอดีตพระพรหมสิทธิ หรือนายธงชัย สุขโข เป็นจำเลยที่ 5
ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2563 ว่าการกระทำของจำเลยที่ 1-5 เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 จึงพิพากษาให้จำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลาทั้งสิ้น 2 ปี 12 เดือน, จำเลยที่ 2-4 จำคุกคนละ 3 ปี 18 เดือน ส่วนพระพรหมสิทธิ ให้จำคุก 36 เดือน และปรับ 27,000 บาท
โดยในส่วนของ อดีตพระพรหมสิทธิ จำเลยที่ 5 นั้นศาลเห็นว่า ที่ผ่านมาได้ปฏิบัติหน้าที่ในการเผยแผ่พุทธศาสนามาอย่างต่อเนื่อง และเป็นพระชั้นผู้ใหญ่ ไม่เคยกระทำผิดทางวินัย จึงเห็นควรให้รอการลงโทษไว้กำหนด 2 ปี
ต่อมาศาลอุทธรณ์อ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2564 ที่ผ่านมา โดยคงโทษ นายพนม จำเลยที่ 1 ไว้ตามศาลชั้นต้น ส่วนจำเลยที่ 2-4 ถูกพิพากษาว่า มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 เพิ่มอีกกระทงหนึ่ง ต้องโทษจำคุกเพิ่มอีกคนละ 1 ปี 6 เดือน รวมโทษจำคุกคนละ 4 ปี 24 เดือน
เช่นเดียวกับ อดีตพระพรหมสิทธิ จำเลยที่ 5 ที่ถูกเพิ่มโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 อีกกระทงหนึ่ง ต้องจำคุก 12 เดือน ปรับ 9,000 บาท เมื่อรวมกับโทษตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว ค้องโทษจำคุก 48 เดือน ปรับ 36,000 บาท แต่ยังให้สมควรรอการลงโทษตามศาลชั้นต้น คือให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี
ความเห็นของ ส.ว.วันชัย ในวงการสงฆ์มีมุมมองที่ค้านว่าอดีตเจ้าอาวาสวัดสระเกศ สามารถกลับมาครองผ้าเหลือง กลับมาบวชเป็นพระได้ ด้วยเหตุว่า
ขณะถูกจับสึกยังไม่ได้เปล่งวาจา และการที่ศาลตัดสินว่ามีความผิดตามฟ้องก็ไม่ใช่ความผิดข้อหาลักทรัพย์ หรือยักยอกทรัพย์ แต่ทำผิดระเบียบการใช้จ่ายเงิน ซึ่งการจะอาบัติปาราชิก กลับมาบวชไม่ได้ ต้องเป็นการลักทรัพย์หรือยักยอกทรัพย์จริงเท่านั้น
ส่วนพระเองก็เหมือนจะรู้ทัน และไม่ค่อยเชื่อว่า ความเห็นของ ส.ว.วันชัย ไม่มีวาระซ่อนเร้น เพราะนอกจากเป็นนักการเมือง นักกฎหมายชื่อดัง วันชัยยังมีความสนิทใกล้ชิดกับพระเถระชั้นผู้ใหญ่ ก็อาจจะมองได้ว่า กำลังเปิดเกมเขย่าภูเขาทอง ให้สะเทือนถึงวัดสระเกศหรือไม่ น่าคิดน่าติดตาม
เอวัง...ก็มีด้วยประการฉะนี้