เจ้าพ่อพญาเสือ “ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร” สวนกลับ ป.ป.ท. ถามเคยลงพื้นที่เกิดเหตุค้นหาความจริงหรือเปล่า อย่าพิจารณาตัดสินอนาคตข้าราชการที่ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่เพียงแผ่นกระดาษ ย้ำวันนี้ยังคงขี่ ฮ.ขึ้นลงโป่งลึก-บ้านบางกลอย ปฏิบัติภารกิจพิเศษอยู่ ขออย่าเพิ่งดีใจไปเพราะยังมีสิทธิแก้ต่างและอยู่ในตำแหน่งได้อีก 3 เดือน
ความขัดแย้งระหว่างกะเหรี่ยงบางกลอยกับทางการ คงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าปัจจัยหนึ่งมาจากความรุนแรงที่เกิดขึ้นในช่วงยุทธการตะนาวศรี ไม่ว่าจะเป็นปฏิบัติการอุ้มหายนายพอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่ แกนนำคนสำคัญของกะเหรี่ยงบางกลอย ในช่วงที่ต่อสู้กับอำนาจรัฐ คดีมือปืนบุกสังหารนายทัศน์กมล โอบอ้อม หรืออาจารย์ป๊อด อดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคเพื่อไทย ในฐานะแกนนำและที่ปรึกษาคนสำคัญของกะเหรี่ยงบางกลอย ก่อนมาถึงฉากสุดท้ายคือคำสั่งให้อพยพกะเหรี่ยงบางกลอยให้ลงจากป่ามาทั้งหมด แต่อีกกระแสหนึ่งก็ว่าเป็นปฏิบัติการกวาดล้างชนกลุ่มน้อยที่ลักลอบเข้ามาตัดไม้ทำลายป่า
ปฏิบัติการครั้งนี้เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 16 ก.ค. - 24 ก.ค. พ.ศ.2554 ทหารชุดหนึ่งพร้อมนักบินรวม 5 ชีวิตนำเฮลิคอปเตอร์ รุ่นยูเอส-1 เอช (ฮิวอี้) ขึ้นบินจาก พล.นร.9 ค่ายสุรสีห์ จ.กาญจนบุรี มุ่งหน้าสู่ป่าแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี แต่ระหว่างนั้นเกิดสภาพอากาศแปรปรวนเฮลิคอปเตอร์ตกกลางป่าระเบิดเสียชีวิตยกลำ
วันที่ 19 ก.ค. หรืออีก 3 วันต่อมา พล.ต.ตะวัน เรืองศรี ผบ.พล.ร.9 นำทีม 9 ชีวิตเพื่อเดินทางไปกู้ศพโดยเที่ยวนี้ใช้เฮลิคอปเตอร์แบล็กฮอล์ก ซึ่งถือว่ามีประสิทธิภาพดีที่สุดของกองทัพ แต่ในระหว่างขึ้นบินอยู่นั้นเองท้องฟ้าเกิดปิดมีฝนตกหนักเฮลิคอปเตอร์บินชนภูเขามีผู้เสียชีวิตทั้งหมด
ท่ามกลางความตื่นตะลึงไม่มีใครทราบว่าเกิดอะไรขึ้น แม้สภาพจิตใจทุกฝ่ายเริ่มย่ำแย่แต่การช่วยเหลือต้องดำเนินต่อไป หลังวางแผนอย่างรอบครอบที่สุดแล้ววันที่ 24 ก.ค.ถัดมาอีก 5 วันทีมช่วยเหลือและกู้ศพตัดสินใจใช้เฮลิคอปเตอร์รุ่นเบลล์ 212 จากศูนย์การบินทหารบก มีทหารปฏิบัติการพร้อมนักบินทั้งสิ้น 4 นาย แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดอุบัติเหตุซ้ำเป็นครั้งที่ 3 เฮลิคอปเตอร์ถูกลมกระโชกจนเสียการทรงตัวตกลงมาระเบิด จนท.เสียชีวิต 3 รอด 1 รวมปฏิบัติการ 9 วัน ฮ.ตก 3 ลำ มีผู้เสียชีวิตมากถึง 17 คน
เป็นข่าวที่คนไทยเศร้าสะเทือนใจกันทั้งประเทศ และหลายคนพูดตรงกันว่าเกิดจากอาถรรพ์คำสาปแช่งของกะเหรี่ยงที่ถูกทางการขับไล่ออกจากป่านั่นเอง
ต่อเนื่องจากปฏิบัติการครั้งนั้น ชื่อของนายชัยวัฒน์ปรากฏเป็นข่าวทุกสำนัก เพราะต่างโฟกัสแผนกู้ศพโดยใช้วิธีเดินป่าซึ่งในฐานะที่เป็นหัวหน้าอุทยานแก่งกระจาน กอปรกับความชำนาญในพื้นที่ผสมความเด็ดเดี่ยวภารกิจนี้ นายชัยวัฒน์จึงเป็นหัวหน้าทีมรับผิดชอบหลังกู้ศพจนครบถ้วน แล้วเขาได้รับการยกย่องให้เป็นวีรบุรุษแก่งกระจาน และได้รางวัลข้าราชการดีเด่นในปีนั้นเอง
ชื่อเสียงเป็นที่กล่าวถึงไม่ทันไร วิบากกรรมแรกก็มาถึงเมื่อตกเป็นจำเลยข้อหาจ้างวานฆ่านายทัศน์กมล โอบอ้อม แต่สู้คดีศาลยกฟ้องเมื่อปี 2557 และเมื่อพ้นชนักชีวิตราชการของนายชัยวัฒน์กลับมาสู่ความรุ่งโรจน์อีกครั้งเมื่อ พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รมว.กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในขณะนั้นได้รับนโยบายทวงคืนผืนป่าจากรัฐบาล คสช.จึงต้องการชุดเฉพาะกิจที่สามารถตอบสนองภารกิจอย่างทันท่วงที จึงเป็นจุดกำเนิดชุดเฉพาะกิจ 3 ชุดหลัก คือ ชุดฉลามขาว ขึ้นตรงต่อกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ชุดพยัคฆ์ไพร ขึ้นตรงต่อกรมป่าไม้ ชุดสุดท้ายคือพญาเสือ ขึ้นตรงต่อกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ซึ่งทราบกันดีในแวดวงว่านายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานฯ เป็นผู้สนับสนุนนายชัยวัฒน์ให้เป็นหัวหน้าชุด แม้จะเกิดการต่อต้านจากกลุ่มสิทธิฯ แต่นายธัญญายืนยันถึงความจำเป็น พร้อมขอโอกาสให้นายชัยวัฒน์พิสูจน์ตัวเอง โดยการนี้อธิบดีมอบเขี้ยวเล็บให้ชุดพญาเสือ มีปืนเอชเค 8 กระบอก ปืนลูกซอง 21 กระบอก รถยนต์ปฏิบัติการอีก 3 คันพร้อม จนท.ซึ่งมีความชำนาญทุกด้าน รวม 21 นาย
นายชัยวัฒน์ทำหน้าที่อย่างขยันขันแข็ง ชุดพญาเสือสร้างชื่ออย่างรวดเร็ว แต่ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมาเรียกว่าเป็น “คู่กัด” ก็คงไม่ผิด คือการฟ้องร้องกันไปมาระหว่างนายชัยวัฒน์ กับนายสมัคร ดอนนาปี อดีต ผอ.สำนักอุทยาน กระทั่งต่อมาชุดพญาเสือเข้าตรวจสอบบ้านพักตากอากาศของนายสมัครซึ่งสร้างอยู่ในพื้นที่ป่าเขามิสก๊อก จ.ตาก พบว่าเป็นการครอบครองโดยมิชอบ มีการแจ้งความดำเนินคดี
ขณะเดียวกัน แผลของนายชัยวัฒน์ก็ถูกนายสมัครนำมาเปิดโปงเช่นกัน นั่นคืออาณาจักรไร่ราชพฤกษ์ ซึ่งชาวบ้านละแวก ต.สองพี่น้อง อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ทราบกันดีว่าเป็นถ้ำของเจ้าพ่อพญาเสือ โดยมีพื้นที่กว่า 100 ไร่ ส่วนบ้านพักหลังเอกสร้างด้วยไม้หายากทั้งหลังประเมินมูลค่าไม่ได้ นอกจากต่างฝ่ายต่างออกมาแฉเรื่องครอบครองที่ดินอย่างผิดปกติแล้วยังมีการแจ้งความฟ้องร้องคดีหมิ่นประมาทกันและกันในประเด็นอื่นๆ จนข้าราชการในแวดวงป่าไม้ยกให้เป็นคู่กัดที่ไม่ยอมลดราวาศอกให้กันและกัน
เมื่อภารกิจมาถึงจุดหนึ่ง กรมอุทยานฯ จึงปูนบำเหน็จความชอบให้นายชัยวัฒน์ ขยับขึ้นเป็น ผอ.สำนักบริหารพื้นที่ 9 อุบลราชธานี นับว่าเป็นข้าราชการที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่ง แต่กระนั้น “กรรมเก่า” ก็ยังไม่จบสิ้น ในระหว่างเป็นหัวหน้าชุดพญาเสือ นายชัยวัฒน์ยังมีคดีความอุ้มบิลลี่ ตามมาหลอกหลอน กระทั่งเมื่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้หลักฐานสำคัญอันเชื่อว่าเป็นกระดูกของบิลลี่ซึ่งตกอยู่ในถังน้ำมันใต้ธารน้ำใกล้สะพานแขวนข้ามเขื่อนแก่งกระจาน คดีนี้พนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ตั้งข้อหานายชัยวัฒน์ ถึง 8 กระทง แต่ที่สุดแล้วเมื่อส่งสำนวนถึงมืออัยการ นายชัยวัฒน์รอดมาได้อีก เพราะอัยการพิจารณาสำนวนแล้วยังไม่แน่นหนาพอจึงไม่ส่งฟ้องรวม 7 คดีเว้นความผิดตามมาตรา 157 เพียงข้อหาเดียว
กระทั่งเกิดกระแสกะเหรี่ยงบางกลอย เกิดการรวมตัวของชาติพันธุ์เพื่อเรียกร้องที่ทำกิน แน่นอนว่าภาพความรุนแรงเผากระท่อม และยุ้งข้าวปู่คออี้ ต้องปรากฏขึ้นมาอีก ยังรวมถึงการสูญหายของบิลลี่ นับเป็นการตอกย้ำไม่ให้ลืมทั้งที่มีผู้ใหญ่ระดับบริหารต่างขอร้องให้กะเหรี่ยงบางกลอยลืมอดีต
มีคำถามบาดลึกกลับมายังคนมีอำนาจ...บ้านท่านเคยถูกเผาไหม...ลูกหลานท่านเคยถูกอุ้มหายไหม
หากมีใครมาบอกให้ท่านลืมท่าน จะลืมได้หรือเปล่า!!??
และวันที่ 25 ก.พ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ก็มีมติชี้ความผิดให้นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ออกจากราชการ
สายวันนี้ (26 ก.พ.) นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ได้ส่งข้อความไลน์ในกลุ่มผู้สื่อข่าวมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
“จากที่สื่อมวลชน ได้โทร.หา ต้องขอโทษด้วยที่ไม่ได้รับสาย ผมได้อ่านจากสื่อตีพิมพ์/โทรทัศน์ จับใจความได้ว่า ป.ป.ท.มีการให้ข่าว! ชี้มูลว่า ให้นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ให้ออกราชการ มีความผิดเผาบ้านปู่คออึ้ และให้อัยการฟ้องคดีอาญา
ผมเป็นข้าราชการ ดำเนินคดีในคดีตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ มาหลายคดี ทุกคดีเราให้ความเป็นธรรม และต้องสามารถตอบข้อซักถามต่อพนักงานสอบสวนและศาลได้ ว่าแต่ละคดีมีที่มาที่ไปอย่างไร จุดเกิดเหตุพิกัดอยู่ที่ไหน ลักษณะโดยรอบรวมถึงสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างไร และความเสียหายมีขอบเขตเท่าใด เพราะการกล่าวหาดำเนินคดีใครสักคน เราต้องมีความเป็นธรรม เป็นกลาง และที่สำคัญ จนท.ต้องเข้าไปที่จุดเกิดเหตุและเห็นพยานแวดล้อมทั้งหมดเสียก่อนจึงจะทำหน้าที่ข้าราชการที่ดีได้
หลักการทั่วไปที่ต้องปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ที่เป็นพนักงานสืบสวนสอบสวน ที่ต้องทำ คือ ต้องมีพิกัดจุดเกิดเหตุ และต้องพิสูจน์ว่าตรงตามแผนที่หรือไม่ ต้องพิสูจน์ทราบตามพิกัด ว่าตรงและจริง ตามฟ้องหรือไม่ จนท.ต้องลง จุดเกิดเหตุ?
แล้วได้ลงพื้นที่ตรวจสอบด้วยตนเอง ใช่หรือไม่? เปรียบเทียบภาพประกอบที่แนบตามฟ้อง ว่ามุมกล้องในภาพ ตรงกับจุดเกิดเหตุจริงหรือไม่? แล้ว จนท.ป.ป.ท. และพนักงานสอบสวนได้นำสืบหาพยานหลักฐาน ตามข้อมูลพื้นฐานนี่หรือยัง?
จนถึงวันนี้แล้ว ไม่มีใครแม้กระทั่ง จนท.ป.ป.ท.ก็ไม่เคยเข้าไปที่จุดเกิดเหตุสักคนเดียว ทั้งที่ผมปฏิเสธมาตลอดว่า ไม่มีการเผาบ้านปู่คออี้ ตามฟ้องแต่อย่างใด และยังร้องขอท้ายบันทึกวันที่ จนท.ป.ป.ท.สอบสวนว่า ขอให้ จนท.ป.ป.ท.ขอให้ไปดูจุดเกิดเหตุว่ามีจริงหรือไม่ และอยู่ตรงไหน ขออย่าเชื่อกระดาษที่ผู้ฟ้องเอามาให้ดูอย่างเดียว ซึ่งการสอบสวนใช้วิธีการนั่งสอบสวน สอบปากคำพยานบุคคล และเชื่อข้อมูลในกระดาษ นี่หรือคือ
“ความเป็นธรรม”
หมายเหตุ : มีเจตนาพิเศษอะไรหรือเปล่า ฝากเรียนผู้ที่เกี่ยวข้อง ยังมีเวลาอีกสามเดือน ยังพอที่จะชี้มูลให้ผม ออกจากราชการได้
วันนี้! ใช้โอกาสนี้ขอ ฮ.ของกระทรวงทรัพย์ฯ ที่ปฏิบัติหน้าที่ที่เป็นปัญหาอยู่ที่โป่งลึกบางกลอย กับพื้นที่ที่ชาวบ้านพยายามขึ้นไปแถวบางกลอยบน อาศัย ฮ.ลงไปที่ที่ผู้ฟ้องอ้างว่ามีการเผา ลงไปดูก่อนว่ามีจริงหรือไม่ แล้วกลับมีพิจารณาอีกที ผมว่ายังมีเวลา ไม่ต้องรีบหรอกครับ เดี๋ยวจะเสียเรื่องจริยธรรม คุณธรรม” ลงชื่อนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร (เขียน)