“ข่าวลึกปมลับ” ออกอากาศทาง NEWS1 ล้วงปมลึก คลายปมลับ ตีแผ่ประเด็นร้อน กับ นพรัฐ พรวนสุข บก.ข่าวการเมือง และกระบวนการยุติธรรม วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564 ตอน คู่กรรม “สิระ-ปารีณา” จ่อตายแฝด ใครไปก่อน
งานเข้าเอ๋ ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี คนดังแห่งพรรคพลังประชารัฐ หลังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติชี้มูลความผิด “เอ๋” ปารีณา กระทำความผิดฐานฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง กรณีบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติและที่ดินของรัฐ
โดย ป.ป.ช.เห็นว่า ปารีณา ได้ร่วมกับ ทวี ไกรคุปต์ บิดาเข้ายึดถือ ครอบครอง และทำประโยชน์ในที่ดินของรัฐ พื้นที่จำนวน 711–2–93 ไร่ และในวันที่ 25 พ.ค. 2562 น.ส.ปารีณา ได้เข้าปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. โดยยังคงยึดถือ ครอบครอง และทำประโยชน์ในที่ดินของรัฐดังกล่าว
โดยอ้างเอกสารแบบแสดงรายการที่ดินฯ (ภ.บ.ท. 5) ทั้ง 29 แปลงที่ถูกยกเลิกไปแล้ว และมิได้รับอนุญาต เป็นการบุกรุกที่ดินของรัฐ เป็นพื้นที่ 711–2–93 ไร่ ซึ่งคำนวณค่าเสียหายเป็นตัวเงิน จำนวน 36,224,791 บาท
ปปช. ชี้ว่า การที่ ปารีณา ในฐานะผู้แทนของประชาชน จะต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและความผาสุกของประชาชนโดยรวม โดยปราศจากความขัดกันแห่งผลประโยชน์ และต้องประพฤติปฏิบัติตนให้ถูกต้องเป็นแบบอย่างที่ดี อยู่ในกรอบของจริยธรรมในการดำรงตน เคารพ ยึดถือ และปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ
ซึ่งบัญญัติออกมาเพื่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน เพื่อประโยชน์ของประชาชนหรือประโยชน์ของรัฐ มากกว่าการคำนึงถึงประโยชน์ของตนเองและพวกพ้องนั้น แต่กลับไม่ยึดถือระเบียบ หลักเกณฑ์ กฎหมาย และไม่ประพฤติปฏิบัติตนให้เป็นแบบอย่างที่ดีในการปฏิบัติตามกฎหมาย
โดยเฉพาะกฎหมายที่เกี่ยวกับเรื่องการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นประโยชน์สาธารณะที่สำคัญ หรือเกี่ยวกับการปฏิรูปที่ดินที่มีเจตนารมณ์เพื่อต้องการช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบความเดือดร้อน
หลังจากนี้ ป.ป.ช.จะส่งเรื่องไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อวินิจฉัย ไม่ต้องผ่าน ขั้นตอนของอัยการ
สำหรับความผิดจริยธรรมร้ายแรงนี้ คดีของ ปารีณา ถือเป็นคดีประวัติศาสตร์ เพราะเป็นการประเดิมกฎหมายใหม่ของ ป.ป.ช. หรือ คนแรกที่ถูก ป.ป.ช.ฟันตามมาตรานี้
โดยตามมาตรา 87 พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. 2561 ฉบับใหม่ ระบุว่า เมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไต่สวนและมีความเห็นว่า ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง
ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอเรื่องต่อศาลฎีกาวินิจฉัย โดยในวรรคสาม ระบุว่า ให้นำความในมาตรา 81 และมาตรา 86 มาใช้บังคับด้วยอนุโลม
ซึ่งมาตรา 81 ระบุว่า กรณีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ประทับฟ้องให้ผู้ถูกกล่าวหาหยุดปฏิบัติหน้าที่ จนกว่าจะมีคำพิพากษา เว้นแต่ศาลฎีกาฯมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น
ในกรณีที่ศาลฎีกาฯ พิพากษาว่าผู้ถูกกล่าวหากระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหาให้ผู้ต้องคำพิพากษานั้นพ้นจากตำแหน่งนับแต่วันหยุดปฏิบัติหน้าที่ และให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้นั้น และจะเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดเวลาไม่เกิน 10 ปีด้วยหรือไม่ก็ได้
โดยวรรคสองระบุใจความสำคัญว่า หากถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งแล้ว ไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งทางการเมืองอีกตลอดไป
ขณะที่มาตรา 86 บัญญัติว่า กรณีคำพิพากษาของศาลฎีกาฯถึงที่สุดให้ยกฟ้อง ถ้าผู้ดำรงตำแหน่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ และยังมิได้พ้นจากตำแหน่งไปก่อน ให้กลับเข้าปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา
หากเป็นเช่นนี้ สิ่งแรกที่ ปารีณา ต้องลุ้นคือ เมื่อศาลฎีกาประทับรับฟ้องแล้ว จะถูกสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. หรือไม่ แม้ในทางกฎหมายอาจยกเว้นไม่ต้องหยุดก็ได้ แต่ส่วนใหญ่แล้ว “ต้องหยุด”
และคดีนี้ไม่น่าจะช้า เพราะลัดขั้นตอนมาเยอะ ไม่ต้องผ่านอัยการที่ต้องตรวจสำนวนกันใช้เวลาเป็นปีๆ เหมือนคดีอื่น แต่มาที่ศาลฎีกาโดยตรง ขณะเดียวกัน ข้อหาเรื่องจริยธรรมร้ายแรง ไม่ได้สลับซับซ้อน ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย มองว่า น่าจะใช้เวลาราวๆ 6 เดือนน่าจะจบได้
แล้วโทษไม่ได้มีแค่หลุดจากตำแหน่ง ส.ส. แต่ เอ๋ ปารีณา ส่อเค้าจะถูกตัดสิทธิทางการเมือง ที่สูงสุดตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 10 ปี ซึ่งขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาล
ชะตากรรมของ เอ๋ ปารีณา ไม่ได้มีแค่เรื่องนี้เท่านั้น อย่าลืมว่า กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) ได้ยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช.ในคดีบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ถือเป็นที่ดินของรัฐ ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 และกฎกระทรวงฯ ตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 ซึ่งเป็นคดีอาญา โทษถึงขั้นติดคุก
เรื่องผิดจริยธรรมร้ายแรงแค่น้ำจิ้ม จากกรณีที่ เอ๋ ปารีณา ถือครองที่ดินรัฐมิชอบ แล้วยังกล้าที่จะยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. ไม่ได้รวมถึงการบุกรุกป่า
ขณะที่คู่ฝาแฝดการเมืองอย่าง สิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ บัดดี้ขาป่วนสภา จับยามสามตาแล้ว จุดจบอาจจะไม่ต่างกัน หลังฝ่ายค้าน ยื่นถอดถอนต่อศาลรัฐธรรมนูญใหม่ จากกรณีที่เคยถูกลงโทษถึงจำคุก 4 เดือน ในความผิดเกี่ยวกับฉ้อโกง และเกี่ยวกับทรัพย์
โอกาสสูงที่ปารีณาจะโดนสั่งพักชั่วคราวด้วยเหตุผลของกฎหมาย ที่หากศาลรับฟ้องก็สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่เลย ส่วนสิระพ้นด่านมาแล้วไม่ต้องหยุด แต่มีโอกาสที่สิระจะหลุดจาก ส.ส.มีอยู่ไม่น้อย
โดยเฉพาะเมื่อนำไปเทียบกับกรณีของ เทพไท เสนพงศ์ อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ที่ต้องพ้นสมาชิกภาพ ส.ส. หลังถูกศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช พิพากษาจำคุกคดีทุจริตการเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราชเมื่อปลายปีก่อน เมื่อ เทพไท ไม่รอด สิระ ก็ไปต่อยากเหมือนกัน และคาดว่าผลการตัดสินจะออกมา ก่อนคดีปารีณา
แต่กรณี ปารีณา สิระ แม้ฝ่ายแช่งจะรู้สึกสะใจ ข้อหาปั่นป่วน ทำ ส.ส.เสื่อมเสียภาพลักษณ์ แต่ระวังจะเป็นโดมิโน เพราะก็มี ส.ส.หลายคนที่ถือครองที่ดินแบบ ปารีณา ระวังการเชือด ปารีณา จะเป็นแค่การกรุยทางเพื่อจับปลาตัวใหญ่หลังจากนี้