1.ป.ป.ช.มีมติฟัน “ปารีณา” ผิดจริยธรรมร้ายแรงคดีรุกป่า เตรียมส่งศาลฎีกา ด้าน “ปารีณา” ชี้ "เสรีพิศุทธ์" ควรถูกชี้มูลผิดเช่นกัน!
เมื่อวันที่ 10 ก.พ. นายนิวัติไชย เกษมมงคล รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. แถลงถึงกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้มติแต่งตั้งคณะกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงกับ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ (ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ) โดยปรากฏข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ตามที่ น.ส.ปารีณา ได้ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.กรณีเข้ารับตำแหน่ง ส.ส.เมื่อวันที่ 25 พ.ค.2562 โดยระบุว่า มีรายการที่ดินตามแบบแสดงรายการที่ดินเพื่อชำระภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.บ.ท.5) จำนวน 29 แปลง พื้นที่ประมาณ 853 ไร่ ในพื้นที่หมู่ 6 ต.รางบัว อ.จอมบึง จ.ราชบุรี ซึ่งจากพยานหลักฐานข้อเท็จจริงที่หน่วยงานราชการและบุคคลที่เกี่ยวข้อง ปรากฏว่า ที่ดินดังกล่าวตั้งอยู่ในเขตป่าและเขตป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งเป็นที่ดินของรัฐ
จากการไต่สวนปรากฏว่า น.ส.ปารีณา ได้ร่วมกับนายทวี ไกรคุปต์ บิดา เข้ายึดถือครอบครอง และทำประโยชน์ที่ดินของรัฐจำนวนกว่า 711 ไร่ โดยไม่มีสิทธิครอบครองและมิได้รับอนุญาตจากกรมป่าไม้ และ ส.ป.ก.แต่อย่างใด ต่อมาวันที่ 25 พ.ค.2562 น.ส.ปารีณา ได้เข้าปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. โดยยังคงยึดถือครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินของรัฐดังกล่าวโดยอ้างเอกสารแบบแสดงรายการที่ดินฯ (ภ.บ.ท.5) ทั้ง 29 แปลงที่ถูกยกเลิกไปแล้ว และมิได้รับอนุญาต กระทั่งถูกตรวจสอบการครอบครองที่ดินจาก ส.ป.ก. และกรมป่าไม้
โดย ส.ป.ก.ได้แจ้งให้ น.ส.ปารีณา ส่งคืนที่ดินที่ครอบครองและทำประโยชน์ดังกล่าวทั้งหมด อีกทั้งกรมป่าไม้ได้ร้องทุกข์ต่อกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ดำเนินคดีอาญากับ น.ส.ปารีณา ในข้อหาบุกรุกที่ดินของรัฐ เป็นพื้นที่กว่า 711 ไร่ คำนวณค่าเสียหายเป็นตัวเงินกว่า 36 ล้านบาท
คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้พิจารณาสำนวนการไต่สวนแล้วเห็นว่า การที่ น.ส.ปารีณา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะผู้แทนของประชาชน ซึ่งจะต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและความผาสุกของประชาชนโดยรวม โดยปราศจากความขัดกันแห่งผลประโยชน์ และต้องประพฤติตนให้ถูกต้องเป็นแบบอย่างที่ดี อยู่ในกรอบของจริยธรรมในการดำรงตน เคารพ ยึดถือ และปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบข้อบังคับต่างๆ แต่กลับไม่ยึดถือระเบียบ หลักเกณฑ์ กฎหมาย และไม่ประพฤติปฏิบัติตนให้เป็นแบบอย่างที่ดีในการปฏิบัติตามกฎหมาย โดยเฉพาะกฎหมายที่เกี่ยวกับเรื่องการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นประโยชน์สาธารณะที่สำคัญ หรือเกี่ยวกับการปฏิรูปที่ดิน ที่มีเจตนารมณ์เพื่อต้องการช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบความเดือดร้อน และลดความเหลื่อมล้ำในฐานะของบุคคลในทางเศรษฐกิจและสังคม
จึงมีมติว่า กรณีที่ น.ส.ปารีณา ยึดถือ ครอบครอง และใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐโดยมิชอบดังกล่าว เป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง กรณีเป็น ส.ส. กระทำการอันเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์ส่วนรวม ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม อันถือว่ามีลักษณะร้ายแรง และกรณีเป็น ส.ส.กระทำการใดที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่ง อันถือว่ามีลักษณะร้ายแรง ตามมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ.2561 ข้อ 11 ข้อ 17 ประกอบข้อ 27 วรรคสอง ให้เสนอเรื่องต่อศาลฎีกาเพื่อวินิจฉัยต่อไป ส่วน น.ส.ปารีณา จะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. เลยหรือไม่นั้น ตามกฎหมาย ป.ป.ช.กำหนดว่า หากศาลประทับรับฟ้องจะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ในทันที เว้นแต่ศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น
ด้าน น.ส.ปารีณา ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า "#จริยธรรม เมื่อ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด จริยธรรมร้ายแรง กรณีปารีณาถือครอง ภบท.5 ที่ดินประเภท สปก.โดยแสดงไว้ในบัญชีทรัพย์สิน นักการเมือง และข้าราชการ ที่เคยเสียภาษี ภบท 5 ทุกคน ก็จะมีความผิดจริยธรรมเช่นเดียวกัน"
"ขอยืนยันว่า ที่ดินดังกล่าวได้ซื้อต่อมาจากเกษตรกรรายอื่น ตามเอกสาร ภบท5 และได้มาทำกินโดยเป็นอาชีพสุจริต คือเลี้ยงไก่ อย่างเปิดเผยและถูกต้องตามกฎหมาย มีการเสียภาษี และขอใบรับรองมาตรฐานฟาร์มมาก่อนเป็น ส.ส."
"วันนี้ปารีณาถูกกล่าวหาเช่นเดียวกับท่านเสรีพิสุทธ์ที่ถูกกล่าวหาว่าบุกรุกป่า ซึ่งทั้ง 2 คดี ศาลยังไม่ตัดสิน คดียังไม่สิ้นสุดเลย เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอยู่เลย"
"เสรีพิสุทธิ์จึงสมควรถูกชี้มูลความผิดจริยธรรมร้ายแรงเช่นเดียวกับปารีณา เพื่อไม่เป็นการเลือกปฏิบัติ และเมื่อ ป.ป.ช. ส่งศาล ก็เป็นดุลพินิจของศาลที่จะให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวหรือไม่ จึงขอกราบศาลได้เมตตาเกษตรกรคนนี้ที่เลี้ยงไก่มาก่อนมาเป็น ส.ส."
2.รัฐสภามีมติเสียงข้างมาก ส่งศาล รธน.วินิจฉัยรัฐสภามีอำนาจจัดทำ รธน.ฉบับใหม่หรือไม่ ด้านฝ่ายค้านซัด ยื้อเวลา!
เมื่อวันที่ 9 ก.พ. ได้มีการประชุมร่วมรัฐสภา โดยมีนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภาเป็นประธาน เพื่อพิจารณาวาระให้รัฐสภามีมติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภา ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 (2) ที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และนายสมชาย แสวงการ ส.ว.เป็นผู้เสนอ
ทั้งนี้ นายไพบูลย์ อภิปรายเสนอเหตุผลที่ควรยื่นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกรณีดังกล่าวว่า ต้องการให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นไปอย่างถูกต้องสมบูรณ์ที่สุด ซึ่งพบประเด็นข้อกฎหมายว่า รัฐสภาจะมีอำนาจจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้หรือไม่ เพราะตามรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 256 ไม่ได้บัญญัติให้รัฐสภามีอำนาจจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับ แต่ให้รัฐสภามีอำนาจแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญรายมาตราเท่านั้น จึงเห็นว่า หากไม่ดำเนินการให้ชัดเจน เป็นห่วงว่า จะมี ส.ว.ไม่กล้าที่จะให้ความเห็นชอบ การที่ยื่นญัตติฉบับนี้ก็เพื่อทำความชัดเจนก่อนที่จะไปสู่ขั้นตอนการทำประชามติ
จากนั้น สมาชิกรัฐสภาได้อภิปรายแสดงความเห็น โดยฝ่ายค้านอภิปรายไม่เห็นด้วยกับการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกรณีดังกล่าว ขณะที่ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลบางส่วนก็ไม่เห็นด้วยเช่นกัน
โดยนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า นี่คือการหาหนทางตัดทอนอำนาจของรัฐสภาและประชาชนในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เป็นความพยายามที่จะแช่แข็งประเทศไทยด้วยการทำให้รัฐธรรมนูญของ คสช.เป็นรัฐธรรมนูญฉบับนิรันดร หมายความว่า ประเทศไทยจะทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ด้วยการรัฐประหารเท่านั้นใช่หรือไม่
ขณะที่นายบัญญัติ บรรทัดฐาน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) อภิปรายว่ การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ภายใต้ ส.ส.ร.ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ความสมานฉันท์และความปรองดองก็จะเกิดขึ้นในบ้านเมือง วันนี้คนมีความหวังกันมากว่า จะมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ภายใต้การจัดทำร่วมกันของตัวแทนประชาชนที่มาจากการเลือกตั้ง หากความหวังนี้ต้องล่มสลายไป ความไม่เป็นมงคลย่อมเกิดขึ้นกับระบบการเมืองไทย
ด้านนายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย (พท.) อภิปรายว่า การอ้างรอบคอบเกินงาม จะตีความว่ามีความแอบแฝง เดิมพันด้วยปัญหาของสังคมและบ้านเมือง เสี่ยงเกิดความไม่เข้าใจกันของคนในสังคม เมื่อกระบวนการที่รอคอยมันล้ม ใครจะรับประกันได้ว่า มันจะไม่ใช่กระบวนการกลางถนน
ต่อมา นายสมชาย แสวงการ ส.ว.อภิปรายสรุปว่า อยากเห็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มีความรอบคอบ เพราะเมื่อมีข้อกังขาเรื่องข้อกฎหมายที่ต่างกัน และประชาชนส่วนหนึ่งลงชื่อคัดค้าน เราจึงเห็นควรส่งเรื่องนี้ไปยังศาลรัฐธรรมนูญตามหน้าที่ของ ส.ว. ไม่ได้มีเจตนาเตะถ่วงแต่อย่างใด การยื่นศาลรัฐธรรมนูญเพื่อความชัดเจนว่า รัฐสภามีอำนาจหรือไม่
จากนั้นที่ประชุมรัฐสภาได้ลงมติ ซึ่งผลปรากฏว่า เสียงที่เห็นด้วยให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญมี 366 เสียง ไม่เห็นด้วย 316 เสียง งดออกเสียง 15 เสียง
ต่อมา นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน ได้นำทีม ส.ส.ฝ่ายค้านแถลงข่าว โดยกล่าวว่า พรรคร่วมฝ่ายค้าน รวมทั้งพรรคภูมิใจไทย พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคอื่นๆ พยายามทำเต็มที่ไม่เห็นด้วยกับญัตติดังกล่าว สิ่งที่กระทำบ่งชี้ให้เห็นชัดว่า มีการจะยื้อให้ยาวออกไปหรือไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ขณะที่นายพิธา กล่าวว่า เป็นการยืนยันว่า รัฐธรรมนูญไทยฉีกง่ายกว่าแก้ รัฐธรรมนูญไทยทั้ง 20 ฉบับ กว่า 17 ฉบับมาจากการทำรัฐประหาร ที่มาจากสภาและประชาชนจริงๆ มี 3 ฉบับ เปรียบเสมือนการดึงเบรกมือรถยนต์ ประเทศเหมือนรถยนต์ที่กำลังแล่น แต่รัฐบาลดึงเบรกมือด้วยการไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญ จนอาจนำประเทศเข้าสู่ทางตันได้
3. “น้องธนาธร” เข้ารับทราบข้อกล่าวหาคดีติดสินบน 20 ล้าน ปฏิเสธให้สินบน ยันทำสิ่งที่ถูกต้อง!
เมื่อวันที่ 11 ก.พ. นายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานบริษัทบริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด น้องชายนายธนาธร จึงรุ่งเรื่องกิจ ประธานคณะก้าวหน้า พร้อมด้วยทนายความ ได้เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.สัณห์เพ็ชร หนูทอง ผกก.(สอบสวน) กก.1 บก.ป. ตามหมายเรียก เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 144 คดีติดสินบน 20 ล้าน เพื่อเช่าที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ หลังชุดสืบสวนกองปราบฯ สอบสวนขยายผลพบว่า นายสกุลธรมีความผิดในการทุจริตร่วมกับผู้ต้องหาที่ถูกศาลพิพากษาไปก่อนหน้า
โดยก่อนหน้านี้ ศาลอาญาคดีทุจริตฯ ได้พิพากษาจำคุกนายประสิทธิ์ อภัยพลชาญ อดีตเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ และนายสุรกิจ ตั้งวิทูรวณิช พนักงานบริษัทเอกชน ผู้ต้องหารับเงินสินบนเพื่อจัดหาที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินฯ ให้กับนายสกุลธร ซึ่งปัจจุบันได้ออกจากเรือนจำมาแล้วเมื่อต้นเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา
โดยทั้งคู่ให้การเป็นประโยชน์ ประกอบกับพนักงานสอบสวนมีคำพิพากษาศาลซึ่งระบุชัดเจนว่า นายสกุลธรจ่ายเงินสินบน 20 ล้านบาท เพื่อต้องการเช่าที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินฯ ย่านชิดลม ต่อมา มีการตรวจสอบพยานหลักฐานจนแน่ชัดแล้วพบว่า นายสกุลธรมีพฤติกรรมการกระทำผิดจริง จากการสั่งจ่ายเช็คเงินสดให้แก่เจ้าหน้าที่ทั้ง 2 ราย พนักงานสอบสวนกองปราบฯ จึงได้เรียกตัวนายสกุลธรมาแจ้งข้อกล่าวหาเพื่อดำเนินคดี
มีรายงานว่า จากแนวทางการสอบสวน ประกอบกับคำพิพากษาของศาลฯ พบว่า การกระทำของนายสกุลธรสำเร็จไปแล้ว เพราะมีการจ่ายเงินสินบนไปแล้วจำนวน 20 ล้านบาท จึงมีความผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 144 ผู้ใดให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงาน เพื่อจูงใจให้กระทำการ ไม่กระทำการ หรือประวิงการกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ขณะเดียวกันพนักงานสอบสวนกองปราบฯ กำลังพิจารณาข้อกฎหมายด้วยว่า การกระทำของนายสกุลธรนั้น กรรมการบริหารบริษัทคนอื่นๆ รู้เห็นด้วยหรือไม่ เพราะนายสกุลธรทำในนามบริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด หากพบว่าเป็นความผิด กรรมการบริหารฯ อาจต้องถูกดำเนินคดีด้วย รวมถึงนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ มารดาของนายสกุลธร และนายธนาธร พี่ชาย
พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม ผบก.ป.เผยว่า เบื้องต้นพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหานายสกุลธรข้อหาเดียว คือ “ผู้ใดให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงานฯ” ตามกฎหมายอาญา มาตรา 144 หลังจากนี้อยู่ที่นายสกุลธรจะให้การหรือต่อสู้คดีอย่างไร ทางตำรวจจะรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริง แต่ยืนยัน มีหลักฐานพอสมควร จึงออกหมายเรียกได้ ส่วนจะออกหมายเรียกกรรมการบริหารของบริษัทรายอื่นๆ ซึ่งรวมถึงนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ มาสอบปากคำด้วยหรือไม่ อยู่ที่ว่านายสกุลธรจะให้การอย่างไร และมีหลักฐานไปถึงใครบ้าง
ด้านนายสกุลธร ให้สัมภาษณ์สั้นๆ หลังให้ปากคำพนักงานสอบสวนนานร่วม 5 ชั่วโมงว่า ไม่มีอะไรที่จะชี้แจงถึงเรื่องนี้เป็นพิเศษ และคิดว่าได้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง คือ การช่วยเหลือราชการ พร้อมยืนยัน ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ 2 คน ที่ถูกศาลตัดสินความผิดฐานปลอมแปลงเอกสาร และเรียกรับสินบนไปก่อนหน้านี้
ขณะที่ พ.ต.อ.สัณห์เพ็ชร หนูทอง ผกก.(สอบสวน) กก.1 บก.ป.กล่าวว่า นายสกุลธรให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ส่วนรายละเอียดคำให้การต่างๆ อยู่ในสำนวน ไม่สามารถเปิดเผยได้ ทั้งนี้ เจ้าตัวจะขอยื่นหนังสือคำให้การอีกครั้งภายใน 30 วัน
4. ผู้ติดโควิดรายใหม่ในไทยเริ่มลดลง ด้านสมุทรสาครเร่งทำความสะอาด 22 ตลาด ก่อนเปิดทำการอีกครั้ง 15 ก.พ.นี้!
สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในไทยสัปดาห์ที่ผ่านมา เริ่มด้วยเมื่อวันที่ 7 ก.พ. พญ.พรรณประภา ยงค์ตระกูล ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 (ศบค.) แถลงว่า พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 237 ราย เป็นการติดเชื้อในประเทศ 225 ราย แบ่งเป็น ตรวจในระบบเฝ้าระวังและบริการ 113 ราย และจากการคัดกรองเชิงรุกในชุมชน 112 ราย ผู้เดินทางมาจากต่างประเทศและเข้าสถานกักกันโรค 12 ราย
วันต่อมา 8 ก.พ. พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษก ศบค.แถลงว่า พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 186 ราย เป็นการติดเชื้อในประเทศ 176 ราย แบ่งเป็น ตรวจในระบบเฝ้าระวังและบริการ 141 ราย และจากการคัดกรองเชิงรุกในชุมชน 35 ราย ผู้เดินทางมาจากต่างประเทศและเข้าสถานกักกันโรค 10 ราย
วันต่อมา 9 ก.พ. นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค.แถลงว่า พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 189 ราย เป็นการติดเชื้อในประเทศ 179 ราย แบ่งเป็น ตรวจในระบบเฝ้าระวังและบริการ 123 ราย และจากการคัดกรองเชิงรุกในชุมชน 56 ราย ผู้เดินทางมาจากต่างประเทศและเข้าสถานกักกันโรค 10 ราย
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวด้วยว่า “ผู้ติดเชื้อรายใหม่ชะลอตัวลง แม้ตัวเลขสะสมจะชันขึ้นไป แต่อยากให้กดลง ส่วนการค้นหาเชิงรุกในชุมชนในโรงงานใหญ่เสร็จแล้ว โดยจะเร่งค้นหาในโรงงานเล็กที่มีเปอร์เซ็นต์ติดเชื้อต่ำกว่า วันนี้คนที่เดินเข้าในระบบบริการฯ เยอะกว่าค้นหาเชิงรุก เบาใจขึ้นได้แต่ยังวางใจไม่ได้ เพราะการค้นหายังพบเรื่อยๆ”
วันต่อมา 10 ก.พ. นพ.ทวีศิลป์ แถลงว่า พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 157 ราย เป็นการติดเชื้อในประเทศ 144 ราย ติดเชื้อจากต่างประเทศ 13 ราย มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 1 ราย ผู้เสียชีวิตเป็นหญิงไทย อายุ 65 ปี มีโรคประจำตัวคือ มะเร็งที่กล่องเสียง มีภาวะไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย ไขมันในเลือดสูง มีประวัติเป็นผู้สัมผัสผู้ติดเชื้อในครอบครัวที่มาจาก จ.สมุทรสาคร สมาชิกของครอบครัวนี้ ซึ่งอยู่ร่วมบ้านกัน ติดเชื้อแล้ว 5 คน จาก 8 คน
วันต่อมา 11 ก.พ. พญ.อภิสมัย แถลงว่า พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 201 ราย เป็นการติดเชื้อในประเทศ 185 ราย ติดเชื้อจากต่างประเทศ 16 ราย
วันต่อมา 12 ก.พ. ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานว่า พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 175 ราย เป็นการติดเชื้อในประเทศ 167 ราย ติดเชื้อจากต่างประเทศ 8 ราย โดยมีข้อมูลการพบผู้ติดเชื้อที่น่าสนใจ คือ จ.ปทุมธานี ซึ่งพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ในระบบเฝ้าระวังและบริการ 1 ราย และผู้ติดเชื้อรายใหม่จากการตรวจคัดกรองเชิงรุก 60 ราย แบ่งเป็น คนไทย 31 ราย และคนเมียนมา 29 ราย ซึ่งทางจังหวัดได้มีมาตรการปิดตลาดและโรงเรียนที่พบผู้ติดเชื้อ เพื่อตรวจคัดกรองเชิงรุก
ล่าสุด 13 ก.พ. ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานว่า พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 126 ราย เป็นการติดเชื้อในประเทศ 116 ราย ติดเชื้อจากต่างประเทศ 10 ราย
เป็นที่น่าสังเกตว่า สถานการณ์ผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ที่ จ.สมุทรสาคร น้อยลงมาก โดยตัวเลขล่าสุด ณ เวลา 24.00 น. วันที่ 12 ก.พ. พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 53 ราย แบ่งเป็นคนไทย 20 ราย และต่างชาติ 33 ราย
ทั้งนี้ ทางเทศบาลนครสมุทรสาครได้ให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายงานสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยฝ่ายงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ของเทศบาล นำรถน้ำดับเพลิง 3 คัน ที่บรรทุกน้ำคลอรีนเข้มข้น ล้างทำความสะอาดตลาด 22 แห่ง เพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชนทั้งผู้ซื้อ ผู้บริโภค และผู้ขายระหว่างวันที่ 12-14 ก.พ.นี้
ส่วนวันที่ 15 ก.พ. ที่ตลาดจะกลับมาเปิดค้าขายกันตามปกตินั้น จะมีการจัดระเบียบให้ทุกตลาดปฏิบัติตาม โดยผู้ค้า (พ่อค้า แม่ค้า) จะต้องมีการลงทะเบียนกับทางเทศบาล มีป้ายชื่อกำกับ ต้องผ่านการตรวจหาเชื้อโควิด-19 และมีผลยืนยันไม่พบเชื้อ ตลอดจนต้องสวมหน้ากากอนามัย / ถุงมือและอุปกรณ์ ป้องกัน ขณะที่คนงาน ต้องลงทะเบียน มีป้ายชื่อกำกับ ต้องผ่านการตรวจหาเชื้อโควิด-19 และมีผลยืนยันไม่พบเชื้อ ต้องสวมหน้ากากอนามัย / ถุงมือและอุปกรณ์ป้องกัน รวมถึงรองเท้าบู๊ท ส่วนผู้ซื้อ จะต้องผ่านการคัดกรองก่อนเข้าตลาด ต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาขณะจับจ่ายซื้อของในตลาด และต้องเว้นระยะห่างด้วย
5. ตำรวจบุกรวบ “หลงจู๊สมชาย” เจ้าพ่อบ่อนภาคตะวันออก คาบ้านพักเมืองระยอง ก่อนศาลให้ประกันตัว!
เมื่อวันที่ 11 ก.พ. ชุดปฏิบัติการพิเศษตำรวจภูธรภาค 2 และชุดปฏิบัติการพิเศษหนุมาน กองบังคับการปราบปราม ได้บุกเข้าจับกุมตัวนายสมชาย จุติกิติ์เดชา หรือหลงจู๊สมชาย ระยอง เจ้าของบ่อนพนันหลายแห่งในภาคตะวันออก ที่บ้านพักเลขที่ 158/28 ภายในซอยราษฎร์สามัคคี (นครระยอง 22) ต.เนินพระ อ.เมือง จ.ระยอง โดยแสดงหมายค้น และพบตัวนายสมชายตามหมายจับ ในข้อหาร่วมกันเป็นผู้จัดให้มีการเล่นพนัน พนันเอาทรัพย์สินกันโดยไม่ได้รับอนุญาต
ทั้งนี้ ระหว่างตรวจค้นภายในบ้านพักนายสมชายเพื่อหาหลักฐานเพิ่มเติม ปรากฏว่า เจ้าหน้าที่ได้ไปโดนปุ่มบางอย่างคล้ายสวิตช์ปิด-เปิดโดยบังเอิญบริเวณชั้นวางสิ่งของ ทำให้ประตูลับที่เป็นกลไกบริเวณชั้นวางของเปิดออก เผยให้เห็นทางลงห้องใต้ดิน เมื่อลงไปตรวจสอบพบว่า เป็นห้องโล่ง ปูพื้นด้วยหินอ่อน แต่ไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย จากนั้นได้นำตัวนายสมชายไปที่ บก.สส.บช.ก. โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้เดินทางไปสอบสวนด้วยตัวเอง
ต่อมา นายมานิต เล็กโล่ง ทนายความได้ขอเข้าพบนายสมชาย แต่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่ให้เข้าพบ เนื่องอยู่ระหว่างกองปราบฯ สอบสวน ซึ่งนายมานิต เผยว่า เตรียมจะเข้าช่วยเหลือด้านคดี ในฐานะเพื่อนนายสมชาย และจะขอประกันตัวในชั้นศาล ซึ่งนายสมชายได้ปฏิเสธทุกข้อหา
ด้าน พล.ต.อ.สุวัฒน์ เผยว่า จากการสืบสวนบ่อนการพนันใน จ.ระยอง เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกหมายจับผู้ต้องหารวมทั้งสิ้น 5 คน ประกอบด้วย 1.นายสมชาย จุติกิติ์เดชา 2.นายน้อย วงษ์นิยม 3.น.ส.ฤดี แซ่โง้ว 4.น.ส.อลิสา แจ้งสว่าง และ 5.นายดำรงค์ แซ่โง้ว สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 14-19 ม.ค.2564 ตำรวจได้จับกุมกลุ่มรถบรรทุกที่ลักลอบขนย้ายเครื่องจักรไฟฟ้า (สล็อตแมชชีน) มาซุกซ่อนในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จากการจับกุมขยายผลจนทราบแหล่งซุกซ่อน อยู่ในโกดังไม่มีเลขที่ ม.6 ต.พระลับ อ.เมือง จ.ขอนแก่น จำนวน 418 ตู้
จากการสืบสวนทราบว่า มีการว่าจ้างรถบรรทุกขนย้ายตู้สล็อต จาก ต.บางพระ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ตรวจสอบบัญชีธนาคารของกลุ่มผู้ต้องหา พบมีเงินหมุนเวียนในบัญชีจำนวนหลายสิบล้าน มีการยักย้ายถ่ายเทเงิน และยังพบว่า กลุ่มผู้ต้องหามีการนำเงินไปแลกเปลี่ยนเป็นเหรียญกษาปณ์ นำไปใช้กับตู้สล็อตบ่อยครั้ง จึงนำไปสู่การออกหมายจับผู้ต้องหาทั้งหมด 5 คนดังกล่าว แต่จับกุมนายสมชายได้เพียงรายเดียว
พล.ต.อ.สุวัฒน์ เผยว่า เบื้องต้นนายสมชายยังให้การปฏิเสธ ซึ่งเป็นสิทธิของผู้ต้องหา สำหรับการสืบสวนสอบสวน แบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนคดีให้พื้นที่ดำเนินการ ส่วนคดีฟอกเงิน จะให้ทางกองปราบฯ เป็นผู้ทำคดี อยากให้ดูนกันยาวๆ ส่วนผู้ที่หลบหนี ก็ขอให้เข้ามามอบตัว เบื้องต้นไม่พบว่าเกี่ยวข้องกับคดีของนายเสี่ยโป้ โป้อานนท์ ที่ถูกจับกุมก่อนหน้านี้ ส่วนการประกันตัว ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล ทางตำรวจจะคัดค้านประกันตัว
ด้าน พล.ต.ท.รอย อิงคไพโรจน์ ผู้ช่วย ผบ.ตร.กล่าวว่า การจับกุมครั้งนี้ ตำรวจหลายหน่วยได้เข้าตรวจค้นเป้าหมาย 10 จุด สามารถจับกุมนายสมชายได้เพียงคนเดียว และได้ตั้งข้อหาในฐานความผิดเป็นผู้จัดให้มีการเล่นพนัน พนันเอาทรัพย์สินกันโดยไม่ได้รับอนุญาต มีความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกับบุคคลที่เกี่ยวข้องกับหมายจับที่ได้หลบหนีไปก่อน สามารถตรวจยึดสิ่งของที่เป็นพยานหลักฐานที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดี และเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดจำนวน 28 รายการ ประกอบด้วย โฉนดที่ดิน 9 ฉบับ สมุดบัญชีธนาคาร 10 เล่ม ตู้สล็อต 2 ตู้ เหรียญ 5 ถุง ตู้เซฟ 1 ตู้ และโน้ตบุ๊ก โทรศัพท์มือถือ และอุปกรณ์เสพยาไอซ์ ได้มาจากผู้ต้องหารายหนึ่ง โดยได้รวบรวมเสนอต่อศาล จ.ระยอง นายสมชายยังให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา จึงเป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนที่ต้องรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อเอาผิดต่อไป
พล.ต.ท.รอย กล่าวด้วยว่า “รายละเอียดต่างๆ ยังไม่สามารถพูดได้ เพราะยังอยู่ในสำนวน และจะต้องดำเนินการตาม พ.ร.บ.การฟอกเงิน รวมทั้งต้องดำเนินการยึดทรัพย์ต่อไป ส่วนทรัพย์สินมีอะไรบ้าง อยู่ระหว่างตรวจสอบ”
ทั้งนี้ หลังจากตำรวจนำตัวนายสมชาย ส่งฟ้องศาลแขวงจังหวัดระยอง ปรากฏว่า ศาลได้อนุญาตให้นายสมชายประกันตัว โดยตีราคาประกัน 2 แสนบาท แต่มีเงื่อนไขให้ใส่กำไลอีเอ็มเพื่อป้องกันการหลบหนี และห้ามเดินทางออกนอกประเทศ
ด้านนายสันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตรองผู้กำกับการตำรวจสันติบาล ได้เดินทางมาที่ศาลแขวงจังหวัดระยอง และได้เดินเข้าไปถามนายสมชาย ทันทีที่ตำรวจนำตัวออกมาจากศาลว่า คิดถึงนายเสี่ยโป้หรือไม่ ซึ่งนายสมชายได้หันมามองหน้า แต่ไม่พูดอะไร กระทั่งถูกนำตัวขึ้นรถยนต์ออกไปอย่างรวดเร็ว
จากนั้นนายสันธนะ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า การจับกุมนายสมชายเป็นละครโรงใหญ่แหกตาประชาชน ซึ่งตนเองรู้สึกผิดสังเกตตั้งแต่การนำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดหนุมานบุกเข้าจับกุมนายสมชายภายในบ้านพัก ซึ่งการดำเนินการเป็นไปในลักษณะคล้ายลิงหลับ คือเป็นการปฏิบัติการที่มีลักษณะคล้ายได้มีการนัดหมายกันไว้ล่วงหน้าก่อนเข้าไป และยังทราบอีกว่า นายสมชายได้นั่งดื่มกาแฟอยู่ภายในบ้าน
นายสันธนะ กล่าวอีกว่า “การบุกเข้าจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อต้องการลดกระแสสังคม แต่ที่ข้องใจคือ เหตุใดการแถลงข่าวจึงไม่มีการนำตัวผู้ต้องหาออกมาแถลงข่าว เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้สื่อข่าวได้สอบถามด้วย ซึ่งสิ่งนี้ถือเป็นการปิดหูปิดตาประชาชน และเหตุใดเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงไม่คัดค้านการประกันตัว”