xs
xsm
sm
md
lg

“สมศักดิ์” แจงปลดล็อกแค่ “พืชกระท่อม” ใช้เป็นยาสมุนไพรพื้นบ้านเท่านั้น

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม



MGR Online - รมว.ยธ.ยันยังไม่ยกเลิกโคเคน-ฝิ่น-มอร์ฟีน” ออกจากยาเสพติด มีเพียงปลด “พืชกระท่อม” ให้ใช้ตามวิถีชาวบ้าน ส่วน “กัญชา” ต้องควบคุมเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์

วันนี้ (18 พ.ย.) นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม (รมว.ยธ.) กล่าวถึงกรณีเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่กฎกระทรวงอนุญาตจำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองยาเสพติดให้โทษ ประเภท 2 (เช่น โคเคน-มอร์ฟีน-ฝิ่น) เพื่อใช้ในการรักษา การศึกษา และประโยชน์ของทางราชการว่า ขณะนี้ยังไม่มีนโยบายในการประกาศยกเลิกโคเคน หรือฝิ่น จากยาเสพติดให้โทษ มีเพียงนโยบายยกเลิกพืชกระท่อมออกจากยาเสพติดเท่านั้น เนื่องจากพืชกระท่อมมีฤทธิ์ในการเสพติดน้อยมากหากบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม เช่น ไม่เกิน 20 ใบต่อวัน จะไม่ส่งผลกระทบต่อร่างกายและสุขภาพ ใช้ในวิถีชีวิตชาวบ้านทำให้มีแรงทำงานหนักได้ ส่วนการปลดยาเสพติดเพื่อประโยชน์ของทางราชการ มีเพียงกระท่อมที่ต้องการให้ประชาชนสามารถใช้ในวิถีชีวิตพื้นบ้านได้ และจะให้เป็นพืชเศรษฐกิจในอนาคต

นายสมศักดิ์กล่าวอีกว่า การปลดพืชกระท่อมไม่มีการเอื้อประโยชน์ใคร แต่ต้องการให้สามารถใช้ในวิถีชาวบ้านได้ และส่งเสริมการใช้ประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจ พึ่งพาตนเองในการใช้เป็นยาสมุนไพร ซึ่งพืชกระท่อมมีสรรพคุณทางยาสมุนไพรของหมอพื้นบ้านและแพทย์แผนไทย โดยเมื่อมีการถอดพืชกระท่อมจากยาเสพติดแล้วจะมีกฎหมายดูแลการขออนุญาตปลูก การป้องกันการขายแก่เด็กนักเรียนเยาวชน ไม่มีวัตถุประสงค์มอบเมาแต่อย่างใด ส่วนกรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เห็นชอบให้พื้นที่นำร่อง 135 หมู่บ้านชุมชน เป็นท้องที่ที่ให้เสพพืชกระท่อมได้โดยไม่เป็นความผิดนั้นเป็นการผ่อนปรนให้ใช้ด้วยวิธีเคี้ยวใบสด ชงชาตามวิถีชาวบ้านเท่านั้น

“การออกกฎหมายต่างๆ จะต้องมีกฎเกณฑ์ที่เหมาะสม อย่างพืชกระท่อมนี้เราไม่ได้เปิดให้มีการใช้อย่างเสรี แต่จะเป็นการผ่อนปรนให้ใช้ตามวิถีชาวบ้านเท่าไร ส่วนการน้ำมาต้มแล้วผสมเป็น 4 คูณ 100 เราไม่มีการปล่อยให้ทำเช่นนั้นเด็ดขาด รวมทั้งต้องมีการควบคุมและไม่ขายให้แก่เด็กและเยาวชนโดยเด็ดขาด หากใครฝ่าฝืนเราจะลงโทษหนักตามกฎหมาย” นายสมศักดิ์กล่าว

นายสมศักดิ์กล่าวถึงข้อเสนอเปลี่ยนแปลงการควบคุมกัญชาและสารที่เกี่ยวข้องกับกัญชา ของ WHO ให้ใช้ประโยชน์ทางการแพทย์และทางการวิจัย ว่าประเทศไทยตระหนักถึงความพยายามของ WHO ในการให้ข้อเสนอแนะที่จะปรับเปลี่ยนขอบเขตการควบคุมกัญชาและสารที่เกี่ยวข้องกับกัญชา เป็นการสร้างสมดุลในการบริหารจัดการพืชกัญชาแทนการควบคุมอย่างเข้มงวดเพียงอย่างเดียวทำให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้นในการดำเนินการตามอนุสัญญาฯ เพื่อตอบสนองต่อองค์ความรู้ใหม่ที่พัฒนาขึ้นในห้วงที่ผ่านมา รวมถึงแนวโน้มใหม่ของโลกที่เปิดกว้างมากขึ้นในเรื่องการใช้ประโยชน์จากกัญชา แม้ว่าเรื่องประโยชน์ทางการแพทย์ของกัญชายังเป็นประเด็นอ่อนไหวที่มีความคิดเห็นขัดแย้งกันอยู่มากและน่าจะยังหาข้อยุติไม่ได้โดยง่าย

“เราควรมองพืชกัญชาและสารสกัดจากกัญชาอย่างแยกส่วนโดยไม่เหมารวม ในส่วนที่เป็นโทษ ออกฤทธิ์ทำลายจิตและประสาทยังจำเป็นต้องดำรงนโยบายควบคุมอย่างเข้มงวดภายใต้กรอบแนวคิดตามที่ไทยและประเทศสมาชิกอาเซียนยึดมั่นมาโดยตลอด ส่วนสารที่นำมาใช้ประโยชน์ได้ควรเปิดกว้างในการเข้าถึงและทำให้ง่ายต่อการนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์และการวิจัย เพื่อให้ประชาชนมีทางเลือกและมีความหวังในการต่อสู้กับโรคร้าย” นายสมศักดิ์กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น