MGR Online - น.5 แจ้งเส้นทางหลีกเลี่ยง-แนะนำ เหตุชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย 4 โมงเย็น ด้าน น.2 เผยวางกำลัง 59 กองร้อยคุม 3 โซน ห้ามชุมนุมใกล้วัง 150 เมตร จัดชุดเคลื่อนที่เร็วไม่หวั่นปิด 22 สถานที่ ขณะที่รองโฆษก ตร.ยันมีแค่ ศปปส.แจ้งตำรวจในพื้นที่
วันนี้ (8 พ.ย.) ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย รอง ผบช.น. พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รอง ผบช.น. และ พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก ตร.กล่าวถึงมาตรการรักษาความปลอดภัยของกลุ่มผู้ชุมนุม และการอำนวยความสะดวกด้านการจราจร ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ในเวลา 16.00 น. โดย พล.ต.ต.จิรสันต์ กล่าวว่า ตั้งแต่เวลา 14.00 น. ให้หลีกเลี่ยงเส้นทางที่อาจได้รับผลกระทบจากการชุมนุม ได้แก่ ถนนราชดำเนินใน, ถนนราชดำเนินกลาง, ราชดำเนินนอก, ถนนหลานหลวง, ถนนดินสอ, ถนนตะนาว, ถนนสมเด็จพระปิ่นเกล้า, ถนนวิสุทธิกษัตริย์, ถนนจักรพรรดิพงษ์, สะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า, สะพานพระราม 8
สำหรับเส้นทางที่แนะนำให้ประชาชนไปใช้ เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบด้านการจราจร (เส้นทางจากฝั่งพระนคร-ฝั่งธนบุรี) ได้แก่ ด่วนยมราช-ถนนสวรรคโลก-ถนนราชวิถี-สะพานกรุงธน (ซังฮี้), ถนนพระราม 6-ถนนพระราม 1-ถนนเลียบคลองผดุงกรุงเกษม-ถนนเยาวราช-ถนนจักรวรรดิ-สะพานพระปกเกล้า, ถนนพระราม 4-ถนนเยาวราช-ถนนจักรวรรดิ-สะพานพระปกเกล้า, ถนนพระราม 4-ถนนสาทรใต้-สะพานตากสิน
(เส้นทางจากฝั่งธนบุรี-ฝั่งพระนคร) ได้แก่ คู่ขนานลอยฟ้า-ทางด่วนศรีรัช-ไปแจ้งวัฒนะ หรือจตุจักร, คู่ขนานลอยฟ้า-ทางลงสิรินธร-สะพานกรุงธน (ซังฮี้)-ถนนราชวิถี-ถนนพระราม 6, สะพานพระปกเกล้า-ถนนจักรเพชร-ถนนมหาไชย-แยกสามยอด-ถนนเจริญกรุง-ถนนพระราม 4, สะพานพระปกเกล้า-ถนนจักรเพชร-ถนนมหาไชย-แยกสามยอด-ถนนเจริญกรุง-แยกเอสเอบี-ถนนวรจักร-ถนนบำรุงเมือง-ถนนพระราม 1, สะพานพุทธยอดฟ้า-ถนนจักรเพชร-ถนนอัษฎางค์-ถนนบำรุงเมือง-ถนนพระราม 1, สะพานตากสิน-ถนนสาทรเหนือ-ถนนพระราม 4
พล.ต.ต.ปิยะ กล่าวว่า การดูแลรักษาความปลอดภัย ตำรวจใช้กำลังทั้งหมด 59 กองร้อย โดยแบ่งพื้นที่รับผิดชอบออกเป็น 3 โซน คือ บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และบริเวณโดยรอบ อยู่ในความรับผิดชอบของ พ.ต.อ.อรรถวิทย์ สายสืบ รอง ผบก.น.1 รรท.ผบก.น.1 บริเวณสนามหลวง ศาลฎีกา และพื้นที่ใกล้เคียง อยู่ในความรับผิดชอบของ พล.ต.ต.เมธี รักพันธุ์ ผบก.น.6 และบริเวณตั้งแต่สะพานผ่านฟ้า แยก จปร. แยกมัฆวาน และทำเนียบรัฐบาล อยู่ในความรับผิดชอบของ พล.ต.ต.สหรัฐ ศักดิ์ศิลปชัย รอง ผบช.น.
“บช.น.ฝากเตือนไปยังประชาชนกลุ่มผู้ชุมนุม ตาม พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ มาตรา 7 ไม่มีให้การชุมนุมในระยะ 150 เมตร จากพระบรมมหาราชวัง พระราชวัง วัง ที่ประทับหรือที่พำนัก ห้ามให้มีการชุมนุมโดยเด็ดขาด ผู้จัดการชุมนุมหรือผู้ที่มาชุมนุม หากฝ่าฝืนต้องได้รับโทษตามกฎหมายแน่นอน” น.2 กล่าว
พล.ต.ต.ปิยะ กล่าวถึงการเผชิญหน้าของม็อบ ศปปส.และกลุ่มคณะราษฎร เนื่องจากจัดในสถานที่เดียวกัน ว่า บช.น.ได้มีการจัดกำลังตำรวจไว้ดูแลความสงบเรียบร้อย พื้นที่โดยรอบและตามแนวต้านเพื่อไม่ให้ทั้ง 2 กลุ่มเผชิญหน้ากัน ส่วนการข่าวพบว่าเย็นนี้กลุ่มผู้ชุมนุม อาจจะใช้ถนนราชดำเนินกลาง หรือถนนนครสวรรค์ ตำรวจได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น.อยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะประกาศให้ทำเนียบรัฐบาล เป็นพื้นที่ห้ามการชุมนุมระยะ 50 เมตรหรือไม่ ถ้าเคลื่อนตัวมุ่งหน้าถนนราชดำเนินกลาง ซึ่งเป็นด่านสุดท้ายที่ตำรวจได้วางกำลังป้องกันไว้ เพื่อไม่ให้ผ่านแยก จปร.หรือแยกมัฆวาน แต่ถ้ามุ่งหน้าสนามหลวงถนนมหาธาตุจะเป็นด่านสุดท้าย
ส่วนกรณีกลุ่มผู้ชุมนุมเขียนข้อความต่างๆ หากข้อความนั้นไม่มีผลกระทบ หรือผิดกฎหมาย ก็สามารถดำเนินการได้ แต่ถ้าผิดก็ดำเนินการตามกฎหมาย และปิดสถานที่สำคัญทั้งหมด 22 แห่งนั้น อาจเป็นดาวกระจายได้จัดชุดเคลื่อนที่เร็วเตรียมความพร้อมแล้ว นอกจากนี้ มาตรการป้องกันเหตุเหมือนกรณีมีผู้ไม่หวังดี สร้างสถานการณ์จุดประทัดที่บีทีเอสท่าพระ อยากให้กลุ่มผู้ชุมนุมพบตำรวจเพื่อแจ้งการชุมนุม จะได้กำหนดมาตรการร่วมกัน อาทิ เงื่อนไข ข้อห้าม ข้อบังคับ ตาม พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ ว่าทำอะไรได้บ้าง การตั้งจุดตรวจคัดกรอง การตรวจอาวุธโดยเจ้าหน้าที่ เป็นสิ่งที่มีความจำเป็น จากการสืบสวนและทดสอบเหตุบีทีเอสท่าพระ ปรากฏว่า ประทัดไม่สามารถทิ้งลงมาจากชั้น 2 หรือบนอาคารได้ แสดงว่า การจุดประทัดอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุม ฉะนั้น หากไม่แจ้งการชุมนุมตามกฎหมาย ไม่ได้วางมาตรการรักษาความปลอดภัยร่วมกับตำรวจ ก็อาจจะมีเหตุแบบนี้เกิดขึ้นได้
พ.ต.อ.กฤษณะ กล่าวปิดท้ายว่า การปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ 2558 เท่าที่ได้รับรายงานมีเพียงกลุ่มกลุ่ม ศปปส.เท่านั้นที่แจ้งตำรวจในพื้นที่ โดยมีวัตถุประสงค์ชุมนุมและเวลาชัดเจน แต่ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มไหนต้องแจ้งชุมนุมก่อน ทั้งวัตถุประสงค์ จำนวนคน และสถานที่ เพื่อตำรวจได้จัดเตรียมกำลังดูแลความปลอดภัย อย่างไรก็ตาม หากมีการแจ้งแล้วการชุมนุมกระทำความผิดกฎหมาย ก็ต้องดำเนินการตามกฎหมายไม่ใช่แจ้งแล้วจะทำอะไรก็ได้