“ช่อ-พรรณิการ์” ปวดหัวไมเกรนกำเริบ ขอเลื่อนเบิกความ คดีฟ้อง “บุญเกื้อ” โฆษกกลุ่มไทยภักดี หมิ่นอมเงินบริจาคโครงการเมย์เดย์ จัดคอนเสิร์ตระดมทุนช่วยเหลือผู้เดือดร้อนโควิด-19 ศาลนัดอีกครั้ง 6 พ.ย.นี้ ด้าน “บุญเกื้อ” เผย ศาลอนุญาตให้เรียกสเตทเมนต์มาใช้ประกอบหลักฐาน จี้ คณะก้าวหน้า ยอมรับการตรวจสอบ อย่างตรงไปตรงมา
เมื่อเวลา 13.30 น. วันนี้ (26 ต.ค.) ที่ห้องพิจารณาคดี 813 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้องคดี หมายเลขดำ อ.1732/2563 ที่ น.ส.พรรณิการ์ วานิช หรือ “ช่อ” กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า อดีตโฆษกพรรคอนาคตใหม่ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ว่าที่ร้อยตรี หรือ นายบุญเกื้อ ปุสสเทโว โฆษกกลุ่มไทยภักดี อดีตผู้ช่วย ส.ส.พรรคภูมิใจไทย เป็นจำเลย ในข้อหาหมิ่นประมาท, หมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328 พร้อมเรียกค่าเสียหาย 1 ล้านบาท
โจทก์ฟ้องระบุพฤติการณ์ว่า เมื่อระหว่างวันที่ 1-3 พ.ค. 2563 คณะก้าวหน้า ได้จัดโครงการ #MAYDAYMAYDAY เพื่อสนับสนุนศิลปินนักดนตรีอิสระที่ไม่สามารถประกอบอาชีพได้ในช่วงเวลารักษาระยะห่างทางสังคม โดยรายได้จากการระดมทุนเงินบริจาคระหว่างคอนเสิร์ตจะถูกส่งต่อไปให้เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบ หรือความเดือดร้อนจากโรคติดเชื้อโควิด-19 เป็นเงินคนละ 3 พันบาท ภายใต้ชื่อกิจกรรมว่า “คอนเสิร์ตระดมทุน เมย์เดย์เมย์เดย์ เราช่วยกัน” คณะก้าวหน้าได้รับเงินบริจาคจำนวนทั้งสิ้น 7,282,897.34 บาท และได้ทำการส่งมอบเงินช่วยเหลือให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบหรือเดือดร้อนจากโควิด-19 จำนวน 2,427 คน
โดยเมื่อวันที่ 28 มิ.ย. 2563 จำเลยในฐานะเจ้าของบัญชีผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ “บุญเกื้อ ปุสสเทโว” ได้ลงภาพและข้อความในเฟซบุ๊ก ทำนองว่า คุณช่อและคณะก้าวหน้ากลบเกลื่อนความผิดเรื่องอมเงินบริจาค อาชญากรรมย่อมทิ้งร่องรอยไว้เสมอ รายชื่อผู้ได้รับเงินมีพิรุธ สเตทเมนต์ลวงโลก ตรวจสอบทางทะเบียนราษฎรแล้ว ไม่พบว่ามีตัวตน จากข้อความดังกล่าว โจทก์มีชื่อเล่นว่าช่อ และเป็นหนึ่งในสมาชิกคณะก้าวหน้า ซึ่งเปิดบัญชีรับเงินบริจาคสำหรับโครงการ การที่จำเลยใส่ความโจทก์และคณะก้าวหน้าต่อสาธารณชนว่าอมเงินบริจาค เป็นอาชญากรรมทิ้งร่องรอย และจัดทำบัญชีรายชื่อผู้รับเงินอันเป็นเท็จ ย่อมทำให้โจทก์และคณะก้าวหน้าได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง
ต่อมาวันที่ 29 มิ.ย. 2563 โจทก์ได้ชี้แจงรายละเอียดข้อเท็จจริงเกี่ยวกับรายชื่อผู้ได้รับเงินบริจาคและหลักฐานการรับ-จ่ายให้จำเลยทราบ และแจ้งให้จำเลยลบข้อความ ซึ่งเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์และคณะก้าวหน้าดังกล่าว แต่จำเลยเพิกเฉย และใส่ความย้ำว่าโจทก์อมเงินหรือโกงเงินบริจาคของประชาชน ทั้งที่เมื่อโจทก์ชี้แจงต่อจำเลยอย่างเปิดเผยแล้ว จำเลยย่อมสามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงให้กระจ่างชัดได้ แต่กลับใส่ความโจทก์โดยมีวัตถุประสงค์ทางการเมือง การกระทำดังกล่าวของจำเลยเป็นการใส่ความโจทก์ด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือข่าวปลอมต่อสาธารณะ จงใจทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย และขอใช้สิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นจำนวนเงิน 1 ล้านบาท ซึ่งศาลได้รับคำฟ้องไว้และนัดไต่สวนมูลฟ้องโจทก์
โดยวันนี้ น.ส.พรรณิการ์ วานิช โจทก์และทนายความมาศาล ขณะที่ นายบุญเกื้อ จำเลยก็เดินทางมาศาลพร้อมทนายความเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงเวลานัด ทนายความโจทก์ได้แถลงว่า ขอเลื่อนการไต่สวนในวันนี้ ได้เตรียมพยานปาก น.ส.พรรณิการ์ มาเบิกความเพียงปากเดียว แต่เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา น.ส.พรรณิการ์ ป่วยเป็นไมเกรน มีอาการอาเจียน รวมทั้งปวดศีรษะ ทำให้ไม่สามารถเบิกความได้ แต่จะขอส่งคำเบิกความเป็นเอกสารแทน ซึ่งศาลสอบถามฝ่ายจำเลยแล้ว คัดค้าน โดยทนายความจำเลยแถลงต่อศาลว่า อยากให้ น.ส.พรรณิการ์ เบิกความด้วยตนเองมากกว่า แต่ไม่คัดค้านหากโจทก์จะเลื่อนไปเบิกความในนัดหน้า ศาลพิเคราะห์แล้วจึงอนุญาตให้เลื่อนการไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ไปในวันที่ 6 พ.ย.นี้ เวลา 09.00 น.
ภายหลัง นายบุญเกื้อ ให้สัมภาษณ์ว่า เมื่อช่วงบ่ายได้เจอ คุณพรรณิการ์ ที่ห้องพิจารณา ซึ่งทนายความเขาแถลงว่า คุณพรรณิการ์ป่วย ไม่สามารถเบิกความด้วยตนเองได้ จึงขอยื่นคำเบิกความเป็นเอกสาร แต่เราเห็นว่า ควรจะเบิกความด้วยตัวเอง อย่างตรงไปตรงมา เพื่อจำเลยจะได้ถามซักค้านด้วย ฝ่ายโจทก์เขาจึงขอเลื่อนเบิกความไปนัดหน้า ซึ่งครั้งนี้เราได้เมตตาไม่คัดค้าน ศาลจึงอนุญาตให้เลื่อนไปเบิกความในวันที่ 6 พ.ย. 2563 และในวันนี้เราได้กุญแจสำคัญมาแล้ว คือ ขอให้ศาลมีคำสั่งเรียกข้อมูลสเตทเมนต์ หรือบัญชีการรับโอนเงินธนาคารย้อนหลัง ซึ่งศาลอนุญาตแล้ว หลังจากนี้ จะได้ไปยื่นขอสเตทเมนต์ตัวจริงกับธนาคารด้วยตัวเอง
นายบุญเกื้อ กล่าวต่อว่า เขาแถลงว่าป่วยเป็นไมเกรนเมื่อช่วงเช้า ก็คงเห็นผมแถลงว่าจะไปแจ้งดำเนินคดีหรือเปล่าไม่ทราบ เห็นบอกว่าตอนเช้ามีอาการอาเจียนอย่างหนัก มาเจอวันนี้ ก็ดูร่างกายซูบผอมลงไป ซึ่งก็เลยเมตตาให้เลื่อนไปเบิกความสักหนึ่งนัด เราคนไทยต้องมีเมตตาต่อกัน แต่ครั้งหน้าต้องไม่เลื่อนแล้วนะ โดยตนเองจะเดินทางมาเพื่อซักค้านเหมือนเดิม ความจริงไม่อยากให้มีการเลื่อน แต่อยากจะให้ความจริงเรื่องนี้เปิดเผยโดยเร็วที่สุด เพราะคนไทยทั้งประเทศรอติดตามความคืบหน้าอยู่ว่าคดีไปถึงไหนแล้ว และคดีนี้จะมีผลต่อเนื่องไปอีกหลายคดี รวมไปถึงคดีที่จะฟ้องข้อหาฉ้อโกงด้วย และขอให้คณะก้าวหน้า ยอมรับการตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมา เอาข้อเท็จจริงมาพูดกัน
ทั้งนี้ ภายหลังเลื่อนนัดไต่สวนดังกล่าวแล้ว น.ส.พรรณิการ์ หรือ ช่อ ได้เดินทางกลับทันทีโดยไม่ให้สัมภาษณ์แต่อย่างใด ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายบุญเกื้อ ยังให้สัมภาษณ์ก่อนขึ้นห้องพิจารณาคดี เปิดเผยว่า วันนี้มานัดคดีที่ คุณช่อ พรรณิการ์ ฟ้องหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาและขอให้ชดใช้เงิน 1 ล้านบาท ครั้งนี้เป็นการนัดมาเจอครั้งแรกเพื่อไต่สวนมูลฟ้อง ซึ่งก่อนหน้าที่ได้มีหนังสือมานัดขอเจรจาไกล่เกลี่ย แต่ตนปฏิเสธ ขอต่อสู้และใช้สิทธิของประชาชนที่จะตรวจสอบนักการเมือง โดยเฉพาะคณะก้าวหน้าใช้โครงการเมย์เดย์เมย์เดย์เราช่วยกันซึ่งเป็นโครงการที่รับบริจาคเงินจากประชาชนจำนวนมาก ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวต้องเป็นไปอย่างโปร่งใสและถูกตามวัตถุประสงค์ แต่ปรากฏว่า ความเป็นจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะตนนั้นติดตามโครงการมาตั้งแต่ต้นและก็เป็นหนึ่งในผู้เสียหายที่บริจาคเงินไปเช่นกัน
โครงการนี้เป็นประเด็นขึ้นมา สืบเนื่องจากเรื่องของ “ฌอน บูรณะหิรัญ” กับปมเงินบริจาค โดยตนได้โพสต์ว่าโครงการนี้ก็ไม่ต่างกัน ลักษณะคล้ายกันคือ รับเงินบริจาคจากประชาชน แต่คณะก้าวหน้าได้ใช้บัญชีส่วนตัวของคุณช่อ ทั้งที่ควรเป็นชื่อบัญชีของคณะทำงานที่มีผู้ลงนามร่วมกันไปเปิดบัญชี พอถูกตรวจสอบจากตอนที่เคยแจ้งว่าได้ปิดบัญชีแล้ว ที่จริงยังไม่ได้ปิดแต่อย่างใด พร้อมกับมีเงินเหลือในบัญชีอีก 2 แสนกว่าบาท ดังนั้น ตนจะใช้คดีนี้เพื่อขอดูสเตทเมนต์ของธนาคารเพื่อนำมาตรวจว่ามีความผิดปกติอย่างไรบ้าง เพื่อไปดำเนินคดีฉ้อโกงที่ตนได้แจ้งความไว้แล้ว โดยจะฟ้องทั้ง 3 คนของคณะก้าวหน้า
ก่อนทางรัฐบาลจะยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ตนได้ไปแจ้งความที่ สน.ปทุมวัน เรื่องที่ คุณช่อ พรรณิการ์ ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ตำรวจได้รับแจ้งความไว้แล้ว โดยขอรายละเอียดเพิ่มเติมจากตน หากทำสำนวนเสร็จอาจจะมีหมายจับเชิญคุณช่อ พรรณิการ์ ไปในฐานะเป็นจำเลยก็ได้ เนื่องจากตนได้ส่งข้อมูลเพิ่มเติมให้ตำรวจหมดแล้ว และทาง ตร.ระบุว่า อยู่ในอำนาจการสอบสวนและความผิดได้สำเร็จไปแล้ว
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะนำเรื่องใดมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ นายบุญเกื้อ ตอบว่า วันนี้เป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะหาพยานหลักฐานมาพิสูจน์ต่อศาลว่าเขาได้รับความเสียหายอย่างไร ซึ่งตนมั่นใจว่า ตนในฐานะประชาชนไม่ได้กล่าวหาคุณช่อเป็นการส่วนตัว ตนไม่เคยรู้จักเป็นการส่วนตัว ตนเพียงสงสัย และเรียกร้องให้ตรวจสอบโครงการ ซึ่งการตรวจสอบนักการเมืองเป็นหน้าที่ของประชาชน ที่อยากจะเป็นว่าสุจริตตามที่คณะก้าวหน้าได้โอ้อวดไว้ ว่าจะเป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ที่ชอบการตรวจสอบ ชอบความโปร่งใส ตนมั่นใจในคดีนี้และจะสู้จนกว่าศาลจะยกฟ้อง