MGR Online - “อี้ แทนคุณ” พานักธุรกิจอุปกรณ์ไฟฟ้าร้องกองปราบปรามเร่งดำเนินคดีผัวเมียแสบแอบอ้างชื่อหลอกลงทุนกาสิโน สูญเงิน 39 ล้านบาท
วันนี้ (2 ส.ค.) ที่กองปราบปราม เมื่อเวลา 14.00 น. นายแทนคุณ หรืออี้ จิตต์อิสระ เลขานุการคณะทำงานประธานสภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วยนายวิโรจน์ (ขอสงวนนามสกุล ) อายุ 71 ปี นักธุรกิจจัดจำหน่ายและนำเข้าเครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้าช่างรายใหญ่ เดินทางเข้าพบ ร.ต.อ.เดชวุฒิ อุตรศาสตร์ รอง สว.กก.1 บก.ป. เพื่อติดตามความคืบหน้าคดีที่ถูกนายไพบูลย์ และ น.ส.วัลยา (สงวนนามสกุล) สามีภรรยา นักธุรกิจส่งออกจิวเวลรี และเครื่องเงิน ฉ้อโกงโดยการหลอกให้นำเงินมาร่วมลงทุนธุรกิจบ่อนการพนันต่างประเทศจนสูญเงินไปกว่า 39 ล้านบาท โดยนำเอกสารการโอนเงินมามอบให้เจ้าหน้าที่เป็นพยานหลักฐานเพิ่มเติม
นายวิโรจน์กล่าวว่า เมื่อปี 2558 นายไพบูลย์ และ น.ส.วัลยา สามีภรรยา ลูกค้าที่เช่าอาคารพาณิชย์ของตนในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ได้เข้ามาชักชวนให้นำเงินมาร่วมลงทุนธุรกิจบ่อนการพนันหรือกาสิโน โดยอ้างว่าธุรกิจดังกล่าวเป็นมรดกตามพินัยกรรมที่ได้รับมาจากชาวตุรกีซึ่งมีอยู่ 6 แห่ง ตั้งอยู่ในมาเก๊า ฮ่องกง และที่ภูเก็ต และกำลังมีโครงการจะนำไปขายต่อให้นายทุนต่างชาติในราคา 6 หมื่นล้านบาท หากตนร่วมลงทุนจะได้รับส่วนแบ่งเป็นเงินจำนวนกว่า 3 หมื่นล้านบาท แต่การจะรับมรดกนี้ได้จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมากในการดำเนินการ และไม่น่าจะมีปัญหาอะไรเพราะมีเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงหรือบุคคลสำคัญทางการเมืองหลายคนคอยให้การช่วยเหลือ ด้วยความที่รู้จักสามีภรรยาคู่นี้มานานกว่า 16 ปี และเห็นว่ามีธุรกิจมั่นคงจึงหลงเชื่อนำเงินไปร่วมลงทุนด้วย โดยทยอยโอนเงินให้ครั้งละหลักหมื่นไปจนถึงหลักแสน รวม 1,026 ครั้ง รวมเป็นเงินกว่า 39 ล้านบาท
นายวิโรจน์กล่าวต่อว่า กระทั่งเมื่อต้นปีที่ผ่านมาตนเริ่มเอะใจ เพราะเห็นว่าเวลาผ่านไปกว่า 6 ปีแล้ว และเงินที่ลงทุนไปนั้นก็มีจำนวนค่อนข้างมาก แต่จนถึงตอนนี้กลับยังไม่ได้รับเงินส่วนแบ่งตามที่ตกลงกันไว้แต่อย่างใด จึงทวงถามสามีภรรยาดังกล่าวแต่ก็ถูกบ่ายเบี่ยงอ้างว่าเพิ่งขายบ่อนทั้งหมดได้ อยู่ระหว่างขนเงินสดเข้ามาภายในประเทศ แต่ด้วยเงินนั้นมีจำนวนมากต้องใช้รถขนเงินมากถึง 29 คัน ทำให้ล่าช้า ขอให้รอก่อน ประกอบกับตนได้ทำการตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับบ่อนดังกล่าวจึงทราบว่าเป็นการกุเรื่องขึ้นมาเพื่อหลอกเอาเงินจากตน จึงได้เข้าแจ้งความยังกองปราบปรามเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งก็ได้มีการรับเรื่องไว้แล้วและอยู่ระหว่างการดำเนินการตรวจสอบพยานหลักฐาน กระทั่งล่าสุดตนสามารถรวบรวมหลักฐานเกี่ยวกับการโอนเงินทั้งหมดในช่วง 6 ปีที่ผ่านมาได้ จึงได้มาเข้าพบตำรวจกองปราบปรามอีกครั้งในวันนี้เพื่อนำหลักฐานเหล่านี้มามอบให้
นายวิโรจน์กล่าวต่อว่า เงินที่นำไปลงทุนนั้นเป็นเงินเก็บที่ได้มาจากการทำธุรกิจมาทั้งชีวิต แถมยังมีบางส่วนที่ต้องไปยืมญาติพี่น้องมาลงทุนเพิ่มเพราะอยากได้เงินก้อนแรกกลับคืน เนื่องจากถูกสามีภรรยาขู่ว่าหากไม่นำเงินมาลงทุนเพิ่มเงินที่ลงทุนไปทั้งหมดก่อนหน้านี้จะสูญเปล่า เมื่อไม่มีทางเลือกจึงจำยอมต้องทำตาม จนตอนนี้กลายเป็นหนี้สินญาติพี่น้องหลายล้านบาท
ด้านนายแทนคุณกล่าวว่า ในส่วนของตนเองที่มาเข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปรามด้วยในวันนี้เพราะตนทราบว่ามีการนำชื่อของตนไปใช้ในการแอบอ้างว่าเป็นนอมินีบริหารบ่อนดังกล่าวด้วย ทั้งๆ ที่ตนไม่ได้เกี่ยวข้องแต่อย่างใด ทำให้รู้สึกไม่สบายใจ จึงอยากเข้ามาช่วยเหลือนายวิโรจน์คอยประสานงานช่วยติดตามความคืบหน้าคดีดังกล่าวให้อีกทาง