เลื่อนอ่านอุทธรณ์คดี “โมนา” อดีตผู้เข้าประกวดนางงาม โมโหร้ายทุบตี-ฆ่าฝังดิน “น้องน้ำ” สาวใช้วัย 15 ปี เหตุเพื่อนคนสนิท “โมนา” จำเลยที่ 2 หลบหนีไม่มาศาล จึงให้ออกหมายจับ-ปรับนายประกัน
เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ (26 ส.ค.) ที่ห้องพิจารณา 808 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำที่ อ.3966/2560 ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 8 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส.กฤษณา หรือโมนา สุวรรณพิทักษ์ อายุ 47 ปี อดีตผู้เข้าประกวดนางงาม จ.เพชรบุรี, น.ส.ปรารถนา หรือเม้า ท้วมทรัพย์ อายุ 35 ปี เพื่อนสนิทรุ่นน้อง และนายปราโมทย์ สุวรรณพิทักษ์ อายุ 47 ปี พี่ชายและเป็นอดีตผู้ใหญ่บ้าน เป็นจำเลยที่ 1-3 ฐานร่วมกันช่วยเหลือผู้อื่นไม่ให้ต้องรับโทษอาญาหรือรับโทษน้อยลง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 184 และจำเลยที่ 1 ฐานฆ่าผู้อื่นฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ซึ่งมารดาผู้ตายยื่นคำร้องขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนด้วยเป็นเงิน 1,465,776 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีด้วย
อัยการโจทก์ยื่นฟ้องว่า เมื่อช่วงเดือน ก.พ.-มี.ค. 2555 น.ส.จริยา หรือน้องน้ำ อายุ 15 ปีเศษ ได้มาทำงานเป็นสาวรับใช้ กับ น.ส.กฤษณา จำเลยที่ 1 ที่บ้านพัก หมู่บ้านกลางกรุงรัชวิภา แขวงจตุจักร เขตจตุจักร กทม. โดยช่วงต้นเดือน เม.ย. - วันที่ 12 เม.ย. 2555 จำเลยที่ 1 ซึ่งมีเจตนาฆ่า ได้ใช้ของแข็งไม่มีคม เป็นกระป๋องสเปรย์ ยาวประมาณ 1 ฟุต ทุบตีที่ศีรษะ น.ส.จริยาหลายครั้งซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญ ได้รับแรงกระแทก และยังใช้ท่อต่อพลาสติกเครื่องดูดฝุ่นทุบตีบริเวณต้นขา และใช้ที่หนีบผมขณะที่ยังมีความร้อนจี้ตามลำตัวจนได้รับบาดเจ็บสาหัส จากนั้นเมื่อวันที่ 15 เม.ย. 2555 จำเลยที่ 2 และ 3 ร่วมกันเคลื่อนย้ายศพ ซึ่งได้มีการขุดหลุมฝังศพผู้ตายที่ข้างบ้านพักในจังหวัดเพชรบุรี โดยจำเลยที่ 1 และ 2 ให้การปฏิเสธ ส่วนจำเลยที่ 3 ให้การปฏิเสธแต่ก่อนการสืบพยานในชั้นศาล ได้ขอให้การรับสารภาพที่ถูกฟ้อง ฐานร่วมกันช่วยเหลือผู้อื่นไม่ให้ต้องรับโทษอาญาหรือรับโทษน้อยลง ขณะที่นางจันทิรา ศรีศักดิ์ มารดาผู้ตายได้ยื่นคำร้องขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากกรณีดังกล่าวเป็นเงินทั้งสิ้น 1,465,776 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีโดยจำเลยที่ 1-2 ให้การปฏิเสธ ส่วนจำเลยที่ 3 กลับคำให้การรับสารภาพก่อนเริ่มสืบพยาน
คดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 20 ก.พ. 2562 ว่า สืบเนื่องจากเมื่อประมาณเดือน ก.พ. 2555 น.ส.กฤษณา จำเลยที่ 1 พา น.ส.จริยา หรือน้องน้ำ อายุ 15 ปีเศษ มาทำงานรับใช้ในบ้าน จ.เพชรบุรี และเมื่อจำเลยที่ 1 เกิดโมโหอารมณ์ร้ายจะทุบตีน้องน้ำเสมอ กระทั่งวันที่ 11 เม.ย. 2555 จำเลยที่ 1 ได้ใช้กระป๋องสเปรย์ยาวประมาณ 1 ฟุต ทุบตีที่ศีรษะหลายครั้ง อีกทั้งใช้กระบอกพลาสติกแข็งทุบตีบริเวณต้นขา และใช้ที่หนีบผมขณะที่ยังมีความร้อนจี้ตามลำตัวจนได้รับอาการบาดเจ็บสาหัส
ก่อนถูกส่งตัวมาอยู่ที่บ้านเลขที่ 599/10 หมู่บ้านกลางกรุงรัชวิภา แขวงจตุจักร เขตจตุจักร กทม. และมาเสียชีวิตเมื่อวันที่ 12 เม.ย. 2555 ก่อนที่จำเลยที่ 1 จะร่วมกับพวกนำศพใส่ท้ายรถเดินทางมาที่บ้านเลขที่ 91 หมู่ 7 ต.หนองโสน อ.เมืองฯ จ.เพชรบุรี บ้านของนางโดโร ทิมพิทักษ์ มารดาของจำเลยที่ 1 โดยมีจำเลยที่ 2 และที่ 3 ช่วยกันนำศพน้องน้ำไปฝังอำพรางคดีไว้บริเวณใต้ต้นตาลนอกรั้วบ้าน
ขณะที่ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้วเห็นว่า โจทก์มีพยานซึ่งเป็นบุตรสาวของจำเลยที่ 1 ที่เห็นเหตุการณ์ทุบตีผู้ตายก่อนเสียชีวิตมาเบิกความ หากไม่เป็นความจริงบุตรสาวคงให้การถึงมารดาในพฤติการณ์ที่จะเป็นความผิดร้ายแรง
นอกจากนี้ยังมีคำให้การของจำเลยที่ 2 ในชั้นสอบสวนที่ให้การไว้ถึง 5 ครั้ง โดยเป็นเหตุการณ์ที่ตรงกันหมดที่มีการทุบตีทำร้ายผู้ตายจนมาเสียชีวิตภายหลัง ด้วยเหตุที่ว่าจำเลยที่ 1 เห็นว่าผู้ตายดื้อ ใช้อะไรก็ไม่ค่อยทำตาม ซึ่งจำเลยเป็นคนโมโหร้าย และยังเคยมีเหตุการณ์ทำร้ายจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทจนบาดเจ็บ และทำร้ายแฟนหนุ่มของบุตรสาวจนหัวแตกเพราะไม่พอใจเรื่องการพาไปเที่ยว
การกระทำของจำเลยที่ 1 ในการใช้กระป๋องสเปรย์น้ำยาปรับอากาศที่มีน้ำยาอยู่ด้วยจึงมีน้ำหนักพอสมควร ไปทำร้ายผู้ตายด้วยการตีที่ศีรษะอย่างแรง และต่อมายังใช้ท่อข้อต่อพลาสติกเครื่องดูดฝุ่นตีตามร่างกายผู้ตายอีก รวมทั้งใช้เครื่องม้วนผมที่มีความร้อนจี้ตามลำตัวเป็นบาดแผลนั้น เป็นการเล็งเห็นผลว่าจะถึงแก่ความตายได้
จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ตามมาตรา 288 ให้ลงโทษจำคุกตลอดชีวิตและต้องชดใช้ให้มารดาผู้ตาย ที่ต้องขาดไร้อุปการะจากบุตรสาวที่เสียชีวิต รวมทั้งค่าปลงศพ เป็นเงินทั้งสิ้น 1,065,776 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีที่ผิดนัดชำระ นับตั้งแต่วันที่มารดาผู้ตายยื่นคำร้องให้ชดใช้ตั้งแต่วันที่ 5 มี.ค. 2555
จำเลยที่ 2-3 มีความผิดฐานร่วมกันช่วยเหลือผู้อื่นไม่ให้ต้องรับโทษอาญาหรือรับโทษน้อยลง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 184 ให้จำคุกคนละ 2 ปี คำให้การของจำเลยที่ 2 ในชั้นสอบสวนมีประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้างลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกไว้ 1 ปี 4 เดือน
ส่วนจำเลยที่ 3 รับสารภาพก่อนสืบพยาน ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปี ซึ่ง แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพแต่เมื่อพิจารณาพฤติการณ์แล้วเป็นการกระทำที่ร้ายแรง ซึ่งแม้จำเลยที่ 3 จะเคยเป็นผู้ใหญ่บ้านทำคุณงามความดีมาก่อนและเยียวยามารดาผู้ตายแล้วก็ตาม ก็ไม่มีเหตุให้รอการลงโทษ ต่อมาโจทก์และจำเลยยื่นอุทธรณ์
ในวันนี้ เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้เบิกตัว น.ส.กฤษณา หรือโมนา มาจากทัณฑสถานหญิงกลาง ด้วยใบหน้าเรียบเฉย ส่วนนายปราโมทย์ จำเลยที่ 3 ได้รับการประกันตัวระหว่างอุทธรณ์คดี เดินทางมาฟังคำพิพากษา ขณะที่น.ส.ปรารถนา จำเลยที่ 2 ซึ่งได้ประกันตัวไม่ได้เดินทางมาศาล นอกจากนี้ มารดาผู้ตายและนางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี ก็ร่วมเดินทางมาฟังคำพิพากษา โดยมีตำรวจกองปราบปราม 3 นายติดตามมาดูแลความปลอดภัย
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า นัดอ่านคำพิพากษาในวันนี้ น.ส.ปรารถนา จำเลยที่ 2 ทราบนัดโดยชอบแล้วปรากฏว่าไม่มาศาล จึงให้ออกหมายจับจำเลยที่ 2 เพื่อมาฟังคำพิพากษาและปรับนายประกัน พร้อมเลื่อนไปอ่านคำพิพากษาในวันที่ 6 ต.ค.นี้ เวลา 09.30 น.
ภายหลัง นางปวีณากล่าวว่า ศาลได้เลื่อนไปอ่านอุทธรณ์ในวันที่ 6 ต.ค.นี้ เนื่องจากจำเลยที่ 2 หลบหนีไม่มาฟังคำพิพากษา ส่วนวันนี้ก็ได้พามารดาน้องน้ำมาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เนื่องจากมีความกังวลเรื่องความไม่ปลอดภัย แต่วันนี้เหตุการณ์ที่ศาลเรียบร้อยดี
ด้านนางจันทิรา ศรีศักดิ์ มารดาน้องน้ำ บุตรสาวที่เสียชีวิต กล่าวว่า ตนเองรู้สึกกังวลเรื่องความไม่ปลอดภัยมาตลอด จากการที่อยู่ในพื้นที่ จ.เพชรบุรี ส่วนคดีนี้ตนยังรู้สึกเสียใจที่ลูกสาวเสียชีวิต แต่ก็พอใจตั้งแต่คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้จำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ตลอดชีวิต