xs
xsm
sm
md
lg

ตรวจยึดผลิตภัณฑ์นำสาร “พาราควอต” เป็นส่วนผสม ลักลอบขายผ่านออนไลน์ ผู้ใช้เสี่ยงถึงขั้นเสียชีวิต

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม



MGR Online - ดีเอสไอ ร่วมกรมวิชาการเกษตร บุกค้น 8 จุด ลักลอบนำสารอันตรายพาราควอตผสมในผลิตภัณฑ์ชีวภาพอินทรีย์หลอกขายให้ประชาชน ส่งผลกระทบต่อสุขภาพผู้ใช้และสิ่งแวดล้อม มูลค่าความเสียหายมากกว่า 20 ล้านบาท

วันนี้ (23 ก.ค.) พ.ต.ท.ปกรณ์ สุชีวกุล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พร้อมด้วยนายธานินทร์ เปรมปรีดิ์ ผู้อำนวยการกองคดีคุ้มครองผู้บริโภค ดีเอสไอ พ.ต.ท.กฤช อาจสามารถ ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการคดีพิเศษเขตพื้นที่ 5 (เชียงใหม่) และนายภัสชญภณ หมื่นแจ้ง ผู้อำนวยการสำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร กรมวิชาการเกษตร ร่วมแถลงผลการตรวจค้นผู้ประกอบการที่ผลิตและจำหน่ายวัตถุอันตราย โดยนำสารพาราควอต หรือสารไกลโพเซลผสมในผลิตภัณฑ์ชีวภาพอินทรีย์หลอกขายให้ประชาชน มูลค่าความเสียหายมากกว่า 20 ล้านบาท

พ.ต.ท.ปกรณ์กล่าวว่า ดีเอสไอโดยกองคดีคุ้มครองผู้บริโภค เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบในการป้องกันและปราบปรามตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 ได้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนกรณีการซื้อขายผลิตภัณฑ์สารชีวภาพอินทรีย์สำหรับกำจัดวัชพืช ผ่านทางโซเซียลมีเดีย โดยได้มีการบูรณาการร่วมกับกรมวิชาการเกษตร รวมทั้งได้ทำการล่อซื้อผลิตภัณฑ์จากผู้ประกอบการตามที่ได้มีการลงขายในโซเซียลมีเดีย และได้ส่งตัวอย่างผลิตภัณฑ์ไปตรวจกับกรมวิชาการเกษตร พบว่าผลิตภัณฑ์สารชีวภัณฑ์กำจัดวัชพืชดังกล่าวมีส่วนผสมของสารเคมีพาราควอต

พ.ต.ท.ปกรณ์กล่าวอีกว่า ปัจจุบันสารดังกล่าวเป็นสารที่ห้ามมิให้มีการผลิต การนำเข้า การส่งออก หรือมีไว้ในครอบครอง ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ประกอบกับ เมื่อทำการตรวจสอบข้อมูลการขึ้นทะเบียนต่อกรมวิชาการเกษตร ปรากฏว่าไม่พบข้อมูลผลิตภัณฑ์ขึ้นทะเบียนไว้ ลักษณะการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายมีความผิดฐาน ผลิต หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 1,000,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา 43 ประกอบ มาตรา 47)

ด้านนายธานินทร์เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 22 ก.ค.ที่ผ่านมา ดีเอสไอบูรณาการร่วมกับกรมวิชาการเกษตร และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เข้าตรวจค้นผู้ประกอบการที่ผลิตและจำหน่ายวัตถุอันตราย โดยนำสารพาราควอตผสมในผลิตภัณฑ์ชีวภาพอินทรีย์หลอกขายให้ประชาชน พร้อมกันจำนวน 8 จุด ได้แก่ 1. พื้นที่กรุงเทพฯ จำนวน 1 จุด คือ บ้านเลขที่ 104/504 หมู่บ้านรีเจ้นท์โฮม 15 ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กรุงเทพฯ 2. จังหวัดอุตรดิตถ์ จำนวน 3 จุด ได้แก่ บ้านเลขที่ 244 หมู่ 4 ต.วังกะพี้ อ.เมืองฯ จ.อุตรดิตถ์, บ้านเลขที่ 70/58 หมู่ 8 ต.วังป่าเซ่า อ.เมืองฯ จ.อุตรดิตถ์ , บ้านเลขที่ 70/22 และอาคารห้องแถวชั้นเดียวไม่ปรากฎเลขที่ อีก 4 ห้องลักษณะติดต่อเชื่อมกันกับอาคารเลขที่ดังกล่าว (รวมทั้งหมด 5 ห้อง) หมู่ 8 ต.วังป่าเซ่า อ.เมืองฯ จ.อุตรดิตถ์ และ 3. จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 4 จุด ได้แก่ บ้านเลขที่ 320 หมู่ 9 ต.สันทรายหลวง อ.สันทราย จ.เชียงใหม่, บ้านเลขที่ 135/53 ต.ป่าแดด อ.เมืองฯ จ.เชียงใหม่, บ้านเลขที่ 28/8 ซอยมะกอกน้ำ ถนนคลองชลประทาน ต.ช้างเผือก อ.เมือง จ.เชียงใหม่, บ้านเลขที่ 69/5 หมู่ 5 ถนนโชตนา ซอย 28 ต.ดอนแก้ว อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ จากการเข้าตรวจค้นสามารถยึดผลิตภัณฑ์ต่างๆ และเอกสารที่เกี่ยวข้องได้เป็นจำนวนมาก รวมทั้งได้อายัดอุปกรณ์การผลิตไว้เพื่อทำการตรวจสอบ โดยดีเอสไอจะได้เร่งดำเนินคดีและสรุปสำนวนเพื่อส่งพนักงานอัยการฟ้องคดีต่อไป

นายธานินทร์เผยอีกว่า ดีเอสไอดำเนินการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมพิเศษที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนและผู้บริโภค โดยใช้มาตรการทางกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาด โดยการกระทำความผิดดังกล่าว ได้ส่งผลกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อม ดังนี้ 1. ด้านสุขภาพร่างกาย กรณีนี้เป็นการขายในลักษณะหลอกลวงว่าผลิตภัณฑ์ชีวภาพอินทรีย์สามารถใช้กำจัดวัชพืชได้โดยไม่มีสารที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพผสมอยู่ ทำให้ประชาชนหลงเชื่อและสั่งซื้อมาใช้เป็นจำนวนมาก โดยประชาชนได้นำไปใช้โดยคิดว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ แต่แท้จริงปรากฏว่ามีสารพาราควอตผสมอยู่ ซึ่งปัจจุบันคณะกรรมการวัตถุอันตรายได้มีการยกเลิก 2 สาร ได้แก่ สารพาราควอต และคลอร์ไพริฟอส ส่วนไกลโพเซต จำกัดการใช้ เนื่องจากประชาชนได้รับอันตรายจากการใช้สารดังกล่าว โดยมีประชาชนได้รับผลกระทบมากกว่า 5,000 รายต่อปี และเสียชีวิตมากกว่า 500 รายต่อปี รวมทั้งรัฐต้องเสียค่ารักษามากกว่า 20 ล้านบาทต่อปี

“2. ด้านสิ่งแวดล้อม การใช้สารดังกล่าวอาจมีผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม โดยหากสารดังกล่าวได้ตกค้างไปยังแม่น้ำ ลำคลอง รวมทั้งพืชผักต่างๆ จะทำให้ประชาชนได้รับอันตราย และ 3. ด้านความเสียหาย กรณีนี้ลักษณะการกระทำความผิดเป็นการขายโดยผ่านทางโซเซียลมีเดีย และสื่อออนไลน์ต่างๆ ซึ่งมีการสร้างเครือข่าย จนทำให้ประชาชนหลงเชื่อสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ไปใช้เป็นจำนวนมาก จากการประมาณการน่าเชื่อว่ามีมูลค่าความเสียหายมากกว่า 20 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม จึงขอแจ้งเตือนประชาชนให้ระมัดระวังสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่มีคุณภาพ และมีแหล่งจำหน่ายที่ไม่น่าเชื่อถือ ทั้งนี้ หากประชาชนมีข้อมูลหรือเบาะแสเกี่ยวกับการกระทำความผิดดังกล่าว สามารถแจ้งมายังกรมสอบสวนคดีพิเศษผ่านทางเว็บไซต์ www.dsi.go.th หรือโทร.สายด่วน 1202 (โทร.ฟรีทั่วประเทศ) โดยจะเก็บรักษาข้อมูลผู้แจ้งเบาะแสไว้เป็นความลับ” นายธานินทร์กล่าว










กำลังโหลดความคิดเห็น