ศาลยกฟ้อง “ศุภชัย ศรีศุภอักษร” อดีต ปธ.สหกรณ์คลองจั่นฯ ฉ้อโกงผู้เสียหาย มูลค่า 1 พันล้านบาท ชี้ การดำเนินการของสหกรณ์คลองจั่นดำเนินการผ่านมติที่ประชุมใหญ่ พยานหลักฐานโจทก์ไม่เพียงพอ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย
วันนี้ (30 มิ.ย.) ที่ห้องพิจารณา 812 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษา คดีดำ อ.1260/2561 ที่ น.ส.นวลฉวี เกตุวัฒนเวสน์ กับพวกรวม 410 คน เป็นโจทก์ฟ้อง สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด และ นายศุภชัย ศรีศุภอักษร อายุ 63 ปี อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนียนคลองจั่น จำกัด เป็นจำเลยที่ 1-2 ในข้อหาฉ้อโกงประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343
โจทก์ฟ้องระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อระหว่างปี 2552-2556 สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด จำเลยที่ 1 โดยมี นายศุภชัย จำเลยที่ 2 ในฐานะประธานคณะกรรมการ ได้โฆษณาเผยแพร่ให้ประชาชนทั่วไปทราบว่า กิจการของจำเลยที่ 1 เป็นธนาคาร มีสถานะทางการเงินมั่นคง ความจริงแล้วจำเลยที่ 1 เป็นเพียงสถาบันการเงินเพื่อชุมชนเท่านั้น ไม่มีสถานะเป็นธนาคาร การที่จำเลยที่ 1 โฆษณาเผยแพร่ว่าตนเองมีสถานะเป็นธนาคาร มีสถานะทางการเงินที่มั่นคงและน่าเชื่อถือ สามารถจ่ายดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์พิเศษในอัตราที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่ธนาคารพาณิชย์อื่นพึงจ่ายได้ เป็นเหตุให้โจทก์และประชาชนหลงเชื่อ ทำให้จำเลยทั้งสองได้ไปซึ่งเงินหรือทรัพย์สินของโจทก์จำนวนทั้งสิ้น 1,115,567,027.51 บาท ซึ่งจำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
เหตุเกิดที่แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กทม.และทั่วราชอาณาจักร ขอให้ลงโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343, 83 และ 91
คดีนี้ศาลไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูลจึงประทับฟ้องไว้พิจารณา กระทั่งมีคำพิพากษาในวันนี้
โดยในวันนี้โจทก์ ทนายความโจทก์ นายศุภชัย จำเลย( เบิกตัวจากเรือนจำบางขวาง) และทนายความจำเลยที่ 1-2 มาศาล
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์ทั้ง 410 คน และจำเลยทั้งสองแล้ว สำหรับ สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด จำเลยที่ 1 เห็นว่า ได้จัดตั้งขึ้นตั้งแต่เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2526 โดยใช้คำว่า “สหกรณ์” เป็นส่วนหนึ่งของชื่อที่แสดงออกต่อบุคคลภายนอกมาโดยตลอด แม้ในช่วงเวลาเกิดเหตุจำเลยที่ 1 จะใช้คำว่า “U BANK” และข้อความว่า “ธนาคารที่คุณเป็นเจ้าของ” ประกอบเข้าเป็นส่วนหนึ่งของป้ายชื่อ บริเวณหน้าอาคารที่ทำการ แผ่นพับโฆษณา สมุดประจำตัวสมาชิก และคู่มือสมาชิกก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาจากภาพถ่ายป้ายชื่อและเอกสารต่างๆ แล้วก็ยังปรากฏชื่อ “สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด” รวมอยู่ด้วย ทั้งวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการของจำเลยที่ 1 ตามที่จดทะเบียนในฐานะของสหกรณ์ออมทรัพย์กับการประกอบกิจการของธนาคารพาณิชย์ยังมีข้อแตกต่างกันในรายละเอียด อีกทั้งประชาชนทั่วไปรวมถึงโจทก์ทั้งหมด ก็จะต้องสมัครและมีการเข้าอบรมก่อนเข้าเป็นสมาชิกของจำเลยที่ 1 จึงย่อมทราบดีว่าจำเลยที่ 1 ดำเนินกิจการโดยมีสถานะเป็นสหกรณ์ออมทรัพย์ ลำพังการใช้ข้อความดังกล่าว จึงยังไม่อาจทำให้โจทก์ทั้งหมดและประชาชนทั่วไปหลงเชื่อได้ว่าจำเลยที่ 1 มีสถานะเป็นธนาคารพาณิชย์
ส่วนที่โจทก์ทั้ง 410 คน กล่าวอ้างว่า มีการปกปิดหรือจัดทำงบประมาณการเงินอันเป็นเท็จเพื่อหลอกลวงสมาชิก แต่โจทก์ก็ไม่ได้นำผู้ตรวจการณ์สหกรณ์มาเป็นพยาน ยืนยันว่า จำเลยที่ 1 จัดทำบัญชีงบการเงินเป็นเท็จจริงหรือไม่ แม้คณะกรรมการดำเนินการของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด จะบริหารงานโดยฝ่าฝืนข้อบังคับและไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของนายทะเบียนสหกรณ์ แต่ก็เป็นการกระทำที่อยู่นอกวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ 1 เมื่อสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลจึงย่อมกระทำผ่านทางคณะกรรมการดำเนินการ ซึ่งเป็นผู้แทนของ จำเลยที่ 1 หากคณะกรรมการดำเนินการกระทำการนอกวัตถุประสงค์และเป็นการกระทำที่ส่อไปในทางที่ไม่สุจริตเพื่อประโยชน์ของตนเองหรือบุคคลอื่น จะถือเอาการกระทำของคณะกรรมการดำเนินการเป็นการกระทำของจำเลยที่ 1 ไม่ได้
เมื่อจำเลยที่ 1 จดทะเบียนเป็นสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน จำกัด และดำเนินกิจการให้บริการรับฝากเงินจากสมาชิกและมีรายได้จากการให้สมาชิกยืมเงินเป็นหลัก ย่อมจะต้องมีการโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทั่วไปมาสมัครเข้าเป็นสมาชิก และนำเงินมาลงทุนโดยตกลงให้ผลประโยชน์ตอบแทนเป็นดอกเบี้ยเงินฝาก ซึ่งเป็นเรื่องปกติในการประกอบกิจการสหกรณ์ เมื่อโจทก์ทั้ง 410 คน มิได้นำพยานหลักฐานมาสืบให้เห็นว่าอัตราดอกเบี้ยที่จำเลยที่ 1 ตกลงจะให้เป็นอัตราที่สูงกว่า ผลตอบแทนหรือดอกเบี้ยของสถาบันการเงินอื่นในขณะนั้นมากน้อยเพียงใด และจำเลยที่ 1 ไม่สามารถจ่ายดอกเบี้ยให้แก่สมาชิกในอัตราดังกล่าวได้อย่างแน่นอน หรือการกำหนดอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวไม่เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายหรือไม่ ประกอบกับก่อนเกิดเหตุ คดีนี้โจทก์ทั้ง 410 คน ก็สามารถเบิกถอนเงิน และได้รับดอกเบี้ยและเงินปันผลจากจำเลยที่ 1 ตามปกติ เพิ่งมาเกิดเหตุการณ์ที่โจทก์ทั้ง 410 คน ไม่สามารถทำธุรกรรมเบิกถอนเงินได้เมื่อวันที่ 2 เม.ย. 2556 พฤติการณ์จึงเป็นข้อบ่งชี้ว่า จำเลยที่ 1 มิได้หลอกลวงโจทก์ทั้ง 410 คน และประชาชนโดยมีเจตนที่จะไม่คืนเงินที่ลงทุนหรือไม่จ่ายผลตอบแทนให้มาตั้งแต่ต้น ดังนั้น การที่จำเลยที่ 1 ไม่สามารถทำธุรกรรมเบิกถอนเงินและจ่ายผลตอบแทนให้แก่สมาชิกได้จึงไม่ใช่เกิดจากการหลอกลวงโจทก์ทั้ง 410 คนและประชาชนว่า หากสมัครเป็นสมาชิกด้วยการเปิดบัญชีเงินฝากหรือสะสมทุนกับจำเลยที่ 1 แล้ว จะได้รับผลตอบแทนในอัตราที่สูง พยานหลักฐานของโจทก์จึงยังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามฟ้อง
สำหรับนายศุภชัย จำเลยที่ 2 นั้น โจทก์นำสืบโดยไม่มีรายละเอียดถึงพฤติการณ์ว่ากระทำการหลอกลวงอันเป็นความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนต่อโจทก์ทั้ง 410 คนอย่างไร อีกทั้งในการจัดประชุมใหญ่ประจำปีสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด ซึ่งจะมีการจัดทำวาระรายงานงบการเงินประจำปี ก็ไม่ปรากฏว่า โจทก์ทั้ง 410 คน หรือสมาชิกคนใดคัดค้านหรือโต้แย้ง นอกจากนี้โจทก์ก็มิได้นำผู้ตรวจการณ์สหกรณ์มาเบิกความยืนยันว่ามีการจัดทำงบการเงินเป็นเท็จจริงหรือไม่ แม้โจทก์ทั้ง 410 คน จะมีนายไพบูลย์ นิติตะวัน มาเบิกความถึงพฤติการณ์การกระทำของจำเลยที่ 2 แต่นายไพบูลย์ก็เป็นเพียงผู้รับมอบอำนาจให้เป็นผู้ดำเนินคดีกับจำเลยทั้งสองแทนโจทก์ และไม่ได้เป็นสมาชิกของ สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด มิได้รู้เห็นเกี่ยวกับพฤติการณ์การกระทำของนายศุภชัย จำเลยที่ 2 มาด้วยตนเองโดยตรง เพียงแต่ได้รับคำบอกเล่าและมาเบิกความตามที่ได้รับฟังมาเท่านั้น ส่วนที่โจทก์ทั้ง 410 คน อ้างคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง ในคดีหมายเลขดำที่2472/2556 ซึ่งวินิจฉัยไว้ว่า นายศุภชัย จำเลยที่ 2 กับพวกได้ทุจริตยักยอกเงินของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด จำเลยที่ 1 แต่เมื่อ นายศุภชัย จำเลยที่ 2 มิได้เป็นคู่ความในคดีดังกล่าว คำพิพากษาของศาลปกครองกลางจึงไม่ผูกพันกับนายศุภชัยในคดีนี้ อีกทั้งแม้ในขณะเกิดเหตุ นายศุภชัย จำเลยที่ 2 จะดำรงตำแหน่งประธานกรรมการดำเนินการของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด ก็ตาม แต่ในการบริหารงานและดำเนินกิจการต่างๆ ก็จะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการดำเนินการซึ่งเป็นผู้แทนจำเลยที่ 1 โดยผ่านมติของที่ประชุมใหญ่ หาใช่ นายศุภชัย จำเลยที่ 2 จะเป็นผู้มีอำนาจสั่งการแต่เพียงผู้เดียวไม่ เมื่อโจทก์ทั้ง410 คน กล่าวอ้างว่า นายศุภชัย จำเลยที่ 2 กระทำความผิดและมีผู้ที่ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก แต่กลับไม่มีพยานหลักฐานมานำสืบให้ได้ความชัดเจนว่า นายศุภชัย จำเลยที่ 2 กระทำการหลอกลวงโจทก์ทั้ง 410 คนและประชาชนอย่างไร โดยมีเพียงพยานบุคคลซึ่งมิได้รู้เห็นการกระทำของจำเลยที่ 2 โดยตรงมาเบิกความเพียง 3 ปาก เท่านั้น พยานหลักฐานของโจทก์ ยังมีข้อสงสัยตามสมควรว่า นายศุภชัย จำเลยที่ 2 กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยที่ 2 พิพากษายกฟ้อง
ต่อมาในวันเดียวกัน ที่ห้องพิจารณา 914 ศาลอ่านคำพิพากษาคดีสหกรณ์คลองจั่นฯ อีกสำนวน หมายเลขดำ อ.235/2562 ที่นายคนอง จุลมนต์ กับพวกรวม 292 คน โดยนายไพบูลย์ นิติตะวัน ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด กับนายศุภชัย อดีตประธานบริหารฯ เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 83
โดยระบุฟ้องว่า โจทก์ทั้ง 292 คน เป็นประชาชนผู้ได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลยที่ 1 ทุจริตหลอกลวงโจทก์ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดความจริงซึ่งควรแจ้ง ทำให้จำเลยที่ 1 ได้ไปซึ่งเงินหรือทรัพย์สินจากโจทก์ นำเงินที่ได้จากการหลอกลวงให้แก่จำเลยที่ 2 โดยทุจริต จำเลยที่ 1 ได้โฆษณาให้ประชาชนทราบทั่วไปว่ากิจการของจำเลยที่ 1 เป็นธนาคารซึ่งมีสถานะการเงินมั่นคง ทั้งที่ความจริงจำเลยที่ 1 เป็นเพียงสถาบันการเงินเพื่อชุมชนเท่านั้น ไม่มีสถานะเป็นธนาคารอย่างที่กล่าวอ้าง
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานที่โจทก์จำเลยนำสืบแล้ว สหกรณ์คลองจั่นฯ จำเลยที่ 1 มีการประกอบกิจการแตกต่างกับธนาคาร เป็นสหกรณ์ให้บริการเฉพาะสมาชิก โจทก์ทั้ง 292 คน ย่อมทราบว่าเป็นสหกรณ์ ซึ่งจำเลยที่ 1 ก่อตั้งมายาวนาน สามารถจ่ายผลตอบแทนได้เป็นเวลานาน ทำให้มีสมาชิกเพิ่มขึ้น มิใช่ถูกจำเลยที่ 1 หลอกลวงตามที่กล่าวหา จำเลยที่ 2 เป็นหนึ่งในผู้แทนดำเนินการตามกรอบวัตถุประสงค์ ส่วนที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ดำเนินการขาดทุนและมีการตกแต่งบัญชีนั้น โจทก์ไม่ได้นำพยานหลักฐานมาแสดงเรื่องการขาดทุน ไม่นำผู้ตรวจบัญชีมาเบิกความถึงข้อบกพร่อง มีคำเบิกความของผู้รับมอบอำนาจซึ่งไม่ใช่สมาชิก ไม่มีพยานหลักฐานแสดงว่าเป็นเท็จอย่างไร และจำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธมาโดยตลอด พยานหลักฐานโจทก์ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1-2 กระทำทุจริตฉ้อโกง พิพากษายกฟ้อง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับตัวนายศุภชัยนั้น ก่อนหน้านี้ศาลฎีกาได้พิพากษายืนให้จำคุก 7 ปี ฐานยักยอกเงินสหกรณ์ฯ จำนวน 22,132,000 บาท เป็นของตนเองโดยทุจริต ไม่รอลงอาญา อย่างไรก็ตาม ขณะนี้นายศุภชัยยังคงมีคดีอาญาที่ถูกฟ้องซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอีกหลายสำนวน ทั้งความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและความผิดฐานร่วมกันฟอกเงินที่ได้จากการทุจริตสหกรณ์คลองจั่นฯ ด้วย