ศาลอาญาไม่รับฟ้อง “สิระ” ส.ส.กทม.พลังประชารัฐ ฟ้อง “เสรีพิศุทธ์” ให้สัมภาษณ์พาดพิง ส.ส.สวะ ไร้ประโยชน์ ชี้ไม่ได้กล่าวถึงใครโดยตรง
วันนี้ (30 มี.ค.) ที่ห้องพิจารณา 801 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำสั่งชั้นไต่สวนมูลฟ้อง คดีหมายเลขดำที่ อ.3078/2562 ที่นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย และประธานคณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328 กรณีโจทก์ฟ้องกล่าวหา พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์หมิ่นประมาทจากการให้สัมภาษณ์ทำนองว่าเป็น ส.ส.สวะ ซื้อเสียง
คำฟ้องโจทก์ระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 14 พ.ย. 2562 เวลากลางวัน พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ จำเลย ขณะปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. และประธานกรรมาธิการ (กมธ.) การป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนที่อาคารรัฐสภา ถึงการปฏิบัติหน้าที่ของโจทก์ ในฐานะ กมธ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ ด้วยข้อความลักษณะเปรียบเทียบเป็นพืชที่ไร้ประโยชน์ และมีเนื้อหาที่สื่อความหมายกล่าวหาหรือใส่ความโจทก์ทำนองว่าปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต แจกเงินหรือทรัพย์สินเพื่อสนับสนุนโจทก์ในการปลดจำเลยออกจากการเป็นประธาน กมธ. ที่มีเจตนามุ่งทำลายชื่อเสียงโจทก์และทำลายความน่าเชื่อถือโจทก์ในการปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.และ กมธ. ป้องกันและปราบปรามการทุจริต และเป็นการพูดในลักษณะดูถูกดูแคลนโจทก์ ซึ่งทำให้ผู้ฟังเข้าใจว่าโจทก์เป็น ส.ส.ไร้ประโยชน์ โดยถ้อยคำนั้นล้วนเป็นเท็จ
ส่วนที่โจทก์เคยให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนว่า จะประชุมเพื่อเสนอปลดจำเลยออกจากการเป็นประธาน กมธ.ดังกล่าวนั้น เป็นการเสนอความเห็นต่อสื่อมวลชนในการปฏิบัติหน้าที่ของโจทก์และจำเลยตามอำนาจหน้าที่ ข้อบังคับการประชุมสภาฯ และข้อบังคับการประชุมกรรมาธิการฯ ซึ่งโจทก์เป็น ส.ส.ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชน ไม่เคยทำหน้าที่ใดๆ ให้เกิดความเสียหายแก่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เหตุเกิดที่อาคารรัฐสภา ถ.สามเสน แขวงนครไชยศรี เขตดุสิต กทม.
ในวันนี้ โจทก์และจำเลยไม่ได้เดินทางมาศาล เนื่องจากเป็นการพิจารณาชั้นไต่สวนมูลฟ้อง โดยมีผู้รับมอบอำนาจโจทก์-จำเลย เดินทางมารับฟังคำสั่ง
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า กรณีโจทก์ให้สัมภาษณ์ว่าจะปลดจำเลยสามารถทำได้ตามระเบียบ เป็นความขัดแย้งระหว่างโจทก์กับจำเลย ผู้สื่อข่าวจึงไปถามจำเลยซึ่งเป็นเรื่องปกติที่จำเลยจะไม่พอใจจึงใช้ถ้อยคำรุนแรงไปบ้างก็เป็นเพียงคำไม่สุภาพเท่านั้น ไม่ถึงกับเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ ที่จำเลยกล่าวถึงการพูดกันด้วยเงิน การแจกกล้วย หรือคำว่าสวะนั้น เป็นการกล่าวถึงการทุจริตทั่วไป ไม่ได้เฉพาะเจาะจงระบุชื่อโจทก์ ตามที่จำเลยรับรู้จากการดำรงตำแหน่งประธาน กมธ.การป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร และคำว่าแจกกล้วยไม่ใช่คำด่าที่คนทั่วไปใช้ด่ากัน ที่จำเลยให้สัมภาษณ์จึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท คำฟ้องโจทก์ไม่มีมูลพิพากษายกฟ้อง