MGR Online - ผบ.ตร.สั่งตั้งวอร์รูมติดตามสถานการณ์ “โควิด-19” แพร่ระบาดตลอด 24 ชั่วโมง กำชับทุกหน่วยเตรียมแผนรองรับ
วันนี้ (13 มี.ค.) ที่ศูนย์ปฏิบัติการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการรองรับสถานการณ์ติดเชื้อไวรัสโรวิด-19 ครั้งที่ 2/2563 โดยมี พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.ปิยะ อุทาโย ผู้ช่วย ผบ.ตร. พ.ต.อ.จิรายุ วิสูตรานุกูล นายแพทย์ (สบ4) กลุ่มงานอายุรกรรม รพ.ตำรวจ พ.ต.อ.เชิงรณ ริมผดี รอง ผบก.ตม.2 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม โดยใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง
พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวภายหลังการประชุม ว่า ผบ.ตร. ได้มีข้อสั่งการในที่ประชุม ว่า เรื่องดังกล่าวเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล ถือเป็นวาระแห่งชาติ ที่ทุกหน่วยงานต้องร่วมมือกัน ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ในมิติสำคัญต่างๆ โดยร่วมกับหน่วยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงพาณิชย์ กรมการค้าภายใน เรื่องคนที่ฉวยโอกาสใช้สถานการณ์ซ้ำเติมพี่น้องประชาชน โดยการกักตุนสินค้า จำหน่ายสินค้าเกินราคา โดยให้รายงานผลการปฏิบัติทุกวัน ขณะเดียวกัน ให้โรงพยาบาลตำรวจประสานงานกับหน่วยการแพทย์ เพื่อให้ข้อแนะนำเจ้าหน้าที่ตำรวจและครอบครัวเรื่องการดูแลตนเอง
“ล่าสุด ผบ.ตร. ได้สั่งการให้จัดตั้งวอร์รูม ที่ ศปก.ตร. เป็นศูนย์รองรับสถานการณ์โรคติดเชื้อโควิด-19 ให้ปฏิบัติหน้าที่ตลอด 24 ชั่วโมง มีการประชุมทุกวันเวลา 10.00 น. และให้ตั้งคณะกรรมการย่อยในการดูแลแยกเป็นเรื่องต่างๆ ทุกส่วนราชการของ ตร. เช่น การบังคับใช้กฎหมาย การเตรียมการด้านการแพทย์ การเตรียมการอพยพ และกรณีการเยียวยาต่างๆ พร้อมประสานส่งข้อมูลให้กับศูนย์โควิด-19 ของรัฐบาลก่อนเวลา 20.00 น. ทุกวัน และมอบหมายให้ พล.ต.ต.ญาณพงศ์ โสมาภา ผบก.สท. เป็นผู้ประสานงาน การให้ข้อมูลด้านข่าวขอให้ผ่านจากทีมโฆษกของ ตร. สตม. ปอท. และแพทย์ รพ.ตำรวจเป็นหลัก เพื่อยืนยันข้อมูลที่ถูกต้อง” โฆษก ตร.ระบุ
พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวว่า นอกจากนี้ ได้สั่งการให้กองสวัสดิการของ ตชด. และ บช.ศ. ไปสำรวจความพร้อมกรณีต้องสนับสนุนการปฏิบัติของหน่วยต่างๆ โดยให้ประสานงานใกล้ชิดกับสาธารณสุขจังหวัด สำหรับความพร้อมของ รพ.ตำรวจ ได้จัดเตรียมไว้ 1 ชั้น สำหรับคัดแยกโรค และเตรียมอาคารเพิ่มไว้สำรอง หากมีคนเข้ามารักษาเป็นจำนวนมาก และเตรียมพื้นที่คัดแยกผู้ต้องสงสัยติดเชื้อทางเดินหายใจเพิ่มเติมด้วย
ด้าน พ.ต.อ.เชิงรณ กล่าวว่า หลังจากมีการประกาศราชกิจจานุเบกษายกเลิก Visa on Arrival 18 ประเทศ และฟรีวีซ่า ประเทศเกาหลีใต้ อิหร่าน อิตาลี และ ฮ่องกง ทำให้ผู้ที่จะเดินทางจากประเทศเหล่านี้จะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ในการขออนุญาตเข้าประเทศไทย คือ มีใบรับรองแพทย์ และ ข้อมูลการกักตัว และต้องนำเอกสารดังกล่าวมายื่นให้สถานทูตและสายการบินพิจารณา ก่อนจะอนุญาตให้เข้ามาในประเทศ โดยเชื่อว่า หากใช้มาตรการนี้จะทำให้ความเสี่ยงของบุคคลที่มีเชื้อโควิด-19 เข้ามาในประเทศลดน้อยลง ส่วนคนไทยที่เดินทางมาจากประเทศเสี่ยง จะผ่านการตรวจคัดกรองโรคอย่างละเอียด ก่อนนำส่งกลับภูมิลำเนา กักตัวที่บ้าน 14 วัน โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดแต่ละจังหวัดเป็นผู้รับผิดชอบส่วนตำรวจจะสนับสนุนการปฏิบัติงานทุกกรณี ซึ่งหากฝ่าฝืนก็จะมีความผิดตามกฎหมายต่อไป
ขณะที่ พ.ต.อ.จิรายุ กล่าวว่า ในส่วนของโรงพยาบาลตำรวจได้เตรียมพื้นที่สำหรับการรองรับตำรวจ-ครอบครัวตำรวจ และ ประชาชน ที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคติดเชื้อโควิด-19 โดยมีการจัดเตรียมห้องคัดแยกจำนวน 1 ชั้น ใน รพ.ตำรวจ เป็นห้องแยกเดี่ยว มีห้องน้ำในตัว เพื่อป้องกันการปะปน และแพร่กระจายโรค เตรียมแผนสำรองหากมีผู้ป่วยเพิ่มก็จะขยายห้องเพิ่ม เมื่อมีผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้น โดยจะมีการจัดลำดับตามความสำคัญ เพื่อความดูแลที่เหมาะสม ทั้งนี้ ทางรัฐบาลสนับสนุนค่าใช้จ่ายสิ่งส่งตรวจในห้องแล็บ สำหรับผู้ป่วยที่ต้องสงสัยโควิด-19 ส่วนค่าใช้จ่ายอื่นๆ เป็นไปตามสิทธิการรักษาทั่วไปของผู้ป่วยแต่ละคน สำหรับคนไข้ที่สิทธิการรักษาที่อื่นสามารถใช้สิทธิฉุกเฉินได้ 72 ชั่วโมง ตามปกติอยู่แล้ว