MGR online - ศาลแพ่งสั่งให้นำทรัพย์สิน “ปริญญา จารวิจิต”พี่ชายบูม คดีลงทุนเงินสกุลบิตคอยน์ ที่ปปง.ยึดอายัดไว้ ขายทอดตลาด -เงินในบัญชีธนาคาร คืนผู้เสียหายหากทรัพย์สินเหลือ ให้ตกเป็นของแผ่นดิน
ที่ห้องพิจารณา 517 ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก วันนี้ (17 ม.ค.) ศาลนัดฟังคำสั่ง คดีหมายเลขดำที่ ฟ.170/2561 ระหว่าง อัยการสำนักงานฝ่ายคดีพิเศษ 2 ผู้ร้อง กับ นายปริญญา จารวิจิต อายุ 38 ปี พี่ชายของนายจิรัชพิสิษฐ์ จารวิจิต หรือ บูม นักแสดงวัยรุ่น ที่ได้ลงทุนธุรกิจสกุลเงินบิตคอยน์ กับ นายเออาร์นีย์ โอตาวา ซาริมา เศรษฐีชาวฟินแลนด์ เป็นผู้คัดค้านที่ 1, นายสุวิช จารวิจิต ผู้คัดค้านที่ 2, นางรัศมิ์เกล้า หรือ เลิศฉัตรกมล จารวิจิต ผู้คัดค้านที่ 3, นายชาญณรงค์ ลักษณียนาวิน ผู้คัดค้านที่ 4, น.ส.ชวันรัตน์ ฐิรโพธิศักดิ์ ผู้คัดค้านที่ 5, นายรักบีระซิงห์ เศรษฐี ผู้คัดค้านที่ 6, น.ส.อุราพร น้ำผึ้ง ผู้คัดค้านที่ 7, น.ส.สุพิชฌาย์ จารวิจิต อายุ 33 ปีพี่สาว นายจิรัชพิสิษฐ์ หรือบูม ผู้คัดค้านที่ 8, นายธนสิทธิ์ จารวิจิต ผู้คัดค้าน ที่ 9, นายจิรัชพิสิษฐ์ จารวิจิต หรือบูม อายุ 28 ปี ผู้คัดค้านที่ 10, นายอนรรฆ ศรีนภาสวัสดิ์ ผู้คัดค้านที่ 11, น.ส.อัจฉราพร ต่อวงษ์ ผู้คัดค้านที่ 12, นางศิริสุข ฮุนตระกูล ผู้คัดค้านที่ 13, พ.ต.ท.ชลภัท ภักดีไทย ผู้คัดค้านที่ 14 เรื่อง ขอให้ใช้คืนทรัพย์หรือให้ทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดิน ตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 49 วรรคหนึ่ง และวรรคหก และมาตรา 51
ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า ที่นางรัศมิ์เกล้า หรือ เลิศฉัตรกมล ผู้คัดค้านที่ 3 ขอให้ยกคำร้องและเพิกถอนการอายัดทรัพย์สินแล้วมีคำสั่งคืน ให้แก่พ.ต.ท.ชลภัท ผู้คัดค้านที่ 14 เห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่านายปริญญา ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินทั้ง 2 แปลง ซึ่งมีโฉนดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง และนายปริญญา ผู้คัดค้านที่ 1 ได้ทำสัญญาจะขายทรัพย์สินดังกล่าวคืนให้แก่ ผู้คัดค้านที่ 14 ตามสำเนาสัญญาจะซื้อจะขาย แต่การที่ผู้คัดค้านที่ 14 ยื่นคำคัดค้านเข้ามาในคดีโดยขอให้ยกคำร้องของผู้ร้องและเพิกถอนการอายัดทรัพย์สินแล้วมีคำสั่งให้คืนแก่ผู้คัดค้านที่ 14 โดยมิได้แสดงว่าตนเองพร้อมที่จะปฏิบัติตามหน้าที่ของผู้จะซื้อ คือการชำระราคาที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจำนวน 28,000,000 บาท ที่กำหนดไว้ในสัญญาจะซื้อจะขาย การยื่นคำคัดค้านเข้ามาในคดีของผู้คัดค้านที่ 14 จึงเป็นการกระทำที่ไม่สุจริตคำคัดค้านของผู้คัดค้านที่ 14 ฟังไม่ขึ้น
จึงมีคำสั่งให้ทรัพย์สินรายการที่ 1 ถึงรายการที่ 30 ตามบัญชีทรัพย์สิน( ส่วนใหญ่เป็นเงินฝากในบัญชีธนาคารต่างๆ) พร้อมดอกผลไปคืนหรือชดใช้คืนให้แก่ผู้เสียหายตามสัดส่วนความเสียหาย แทนการสั่งให้ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน หากปรากฏว่ามีทรัพย์สินเหลือก็ให้ตกเป็นของแผ่นดิน ตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 49 วรรคหนึ่ง และวรรคหก และมาตรา 51 สำหรับทรัพย์สินรายการที่ 31 รายการที่ 32 และรายการที่ 37 ให้นำออกขายทอดตลาดแล้วนำเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดไปคืนหรือชดใช้คืนให้แก่ผู้เสียหาย ตามสัดส่วนความเสียหายแทนการสั่งให้ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน หากปรากฏว่ามีทรัพย์สินเหลือก็ให้ตกเป็นของแผ่นดิน ตามพ.ร.บ.ป้องกัน และปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 สำหรับทรัพย์สินที่ดิน 2 แปลงย่านดินแดง รายการที่ 33 และรายการที่ 34 ให้นายชาญณรงค์ ผู้คัดค้านที่ 4 และน.ส.ชวันรัตน์ ผู้คัดค้านที่ 5 ไถ่ถอนการขายฝากได้ในราคา 59,000,000 บาท โดยให้ดำเนินการภายใน 30 วัน นับแต่วันที่คดีถึงที่สุด หากพ้นกำหนดให้นำทรัพย์สินดังกล่าวออกขายทอดตลาด แล้วนำเงินที่ได้จากการไถ่ถอนการขายฝากหรือการขายทอดตลาดไปคืนหรือชดใช้คืนให้แก่ ผู้เสียหายตามสัดส่วนความเสียหายแทนการสั่งให้ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน หากปรากฏว่ามีทรัพย์สินเหลือก็ให้ตกเป็นของแผ่นดิน ตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542
สำหรับทรัพย์สินรายการที่ 35 และ 36 ให้นางรัศมิ์เกล้า ผู้คัดค้านที่ 3 ไถ่ถอนการขายฝากได้ในราคา 27,340,000 บาท โดยให้ดำเนินการภายใน 30 วัน นับแต่วันที่คดีถึงที่สุด หากพ้นกำหนดให้นำทรัพย์สินออกขายทอดตลาด แล้วนำเงินที่ได้จากการไถ่ถอนการขายฝากหรือการขายทอดตลาดไปคืนหรือชดใช้คืนให้แก่ผู้เสียหายตามสัดส่วนความเสียหายแทนการสั่งให้ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน หากปรากฏว่ามีทรัพย์สินเหลือก็ให้ตกเป็นของแผ่นดิน ตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542
สำหรับทรัพย์สินรายการที่ 38 ถึง 43 ให้นายรักบีระซิงห์ ผู้คัดค้านที่ 6 ไถ่ถอนการขายฝากได้ ในราคา 8,500,000 บาท โดยให้ดำเนินการภายใน 30 วัน นับแต่วันที่คดีถึงที่สุด หากพ้นกำหนดให้นำทรัพย์สินดังกล่าวออกขายทอดตลาด แล้วนำเงินที่ได้จากการไถ่ถอนการขายฝากหรือการขายทอดตลาดไปคืนหรือชดใช้คืนให้แก่ผู้เสียหายตามสัดส่วนความเสียหายแทนการสั่งให้ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน หากปรากฎว่ามีทรัพย์สินเหลือก็ให้ตกเป็นของแผ่นดิน ตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542
สำหรับทรัพย์สินรายการที่ 44 ให้นางศิริสุข ผู้คัดค้านที่ 13 ไถ่ถอนการขายฝากได้ในราคา 43,130,000 บาท โดยให้ดำเนินการภายใน 30 วัน นับแต่วันที่คดีถึงที่สุด หากพ้นกำหนดให้นำทรัพย์สินดังกล่าวออกขายทอดตลาด แล้วนำเงินที่ได้จากการไถ่ถอนการขายฝากหรือการขายทอดตลาดไปคืนหรือชดใช้คืนให้แก่ผู้เสียหายตามสัดส่วนความเสียหายแทนการสั่งให้ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นติน หากปรากฏว่ามีทรัพย์สินเหลือก็ให้ตกเป็นของแผ่นดิน ตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับคดีอาญาฟอกเงินลงทุนสกุลเงินบิตคอยน์ ซึ่งเป็นคดีหมายเลขดำ ฟย.50/2561 อัยการสำนักงานคดีพิเศษ 2 ได้ยื่นฟ้อง “นายปริญญา จารวิจิต” อายุ 38 ปี, “นายจิรัชพิสิษฐ์ จารวิจิต” หรือบูม นักแสดงซีรี่ย์วัยรุ่นชื่อดัง อายุ 28 ปี , “น.ส.สุพิชฌาย์ จารวิจิต” อายุ 33 ปี ทั้งสามคนเป็นชาว จ.ชลบุรี ประกอบอาชีพธุรกิจส่วนตัวและเป็นพี่น้องกัน เป็นจำเลยที่ 1-3 ต่อศาลอาญาในความผิดฐานสมคบกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้กระทำผิดฐานฟอกเงิน , ร่วมกันฟอกเงิน ตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา3,5,9,60
โดยยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 1 พ.ย.2561 ซึ่งจำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ ขณะที่ศาลมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความชั่วคราวก่อน โดยศาลกำหนดนัดตรวจหลักฐานครั้งสุดท้ายเมื่อ พ.ค.2562 ที่ผ่านมา