xs
xsm
sm
md
lg

อดีตรองผู้การฯ เมืองเพชร ฟ้อง รองโฆษก ตร.หมิ่นฯ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม



MGR online - อดีตรองผู้การฯ เพชรบุรี ฟ้อง รองโฆษก ตร. หลังถูกโยกไปภาค 9 ฐานหมิ่นฯ ให้ข่าวกล่าวหา ยุยงปลุกปั่น นร.หลักสูตร ผกก.ไม่ต้องตัดผมตามระเบียบ ระบุ มาฟ้องเพื่อรักษาสิทธิส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับองค์กร ด้านรองโฆษก ตร.ไม่กังวลชี้ถือเป็นสิทธิ




วันนี้ (15 ม.ค.) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก พ.ต.อ.ไพรัตน์ ไพพรรณรัตน์ รองผู้บังคับการอำนวยการ กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 อดีตรอง ผบก.ภ.จว.เพชรบุรี มายื่นฟ้อง พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก ตร. ในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326, 328 และ 332

คำฟ้องระบุพฤติการณ์สรุปว่า ก่อนเกิดเหตุคดีนี้ โจทก์เคยรับราชการอยู่ในตำแหน่งรองผู้บังคับการวิทยาลัยการตำรวจกองบัญชาการศึกษาในห้วงตั้งแต่ 16 พ.ค. 2560 - 15 มี.ค. 2561 มีหน้าที่ควบคุมกำกับดูแลปกครองข้าราชการตำรวจที่เข้ามารับการอบรมในหลักสูตรผู้กำกับการหลักสูตรสารวัตร หลักสูตรอำนวยการ ซึ่งจะเข้ามาฝึกอบรมที่วิทยาลัยตำรวจประจำแต่ละปี โดยโจทก์ได้ทำหน้าที่ควบคุมในห้วงเวลาดังกล่าว ขณะเกิดเหตุจำเลยชื่อ พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ เป็นรองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีหน้าที่ให้ข่าวต่างๆ ที่เกี่ยวกับกิจการตำรวจและนำเสนอเรื่องราวที่สื่อและประชาชนให้ความสนใจข้อ เมื่อวันที่ 13 ม.ค. 2563 เวลากลางวัน หลังจากจำเลยได้ดูได้ฟังการให้สัมภาษณ์ของโจทก์กับรายการทีวีที่โจทก์ให้สัมภาษณ์ว่าถูกย้ายจากภาค 7 ไปอยู่ภาค 9 จึงจะไปดำเนินคดีกับ ผบ.ตร.ที่กลั่นแกล้งย้ายโจทก์โดยมีเหตุจูงใจโกรธเคือง ว่า โจทก์ไม่ไว้ทรงผมให้ถูกระเบียบ ก็ได้มีนักข่าวมาสัมภาษณ์จำเลย เพราะจำเลยเป็นรองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติถึงกรณีที่โจทก์ถูกย้าย

ซึ่งจำเลยได้ยืนยันข้อเท็จจริงใส่ความโจทก์ โดยการโฆษณาว่า จำเลยทั้งในฐานะรองโฆษกและในฐานะส่วนตัวได้บังอาจใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่สามโดยการโฆษณา ให้สัมภาษณ์ออกสื่อหลายช่องทาง ทั้งหนังสือพิมพ์ และ สื่อออนไลน์ และ สถานีโทรทัศน์อีกทั้งช่องทางกลุ่มไลน์ทั่วๆ ไป ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยยืนยันข้อเท็จจริงกับสื่อมวลชนกรณีที่โจทก์ถูกย้ายจากภาค 7 ไปอยู่ภาค 9 ว่า มีข้อความทำนองว่า “ต้องย้อนกลับไปดูว่าตัวเอง (หมายถึงโจทก์) ที่ถูกโยกย้ายไปตัวเอง (หมายถึงโจทก์) มีพฤติกรรมอย่างไรไปดูสิ่งที่ผ่านมานั้น มันมีปัญหาอะไร เขาสั่งให้ตัดผมจนมีคำสั่งออกมาเป็นระเบียบการที่ตัวเอง (หมายถึงโจทก์) ไปพูดปลุกปั่น ให้กับนักเรียนที่เข้าอบรมหลักสูตรผู้กำกับที่วิทยาลัยการตำรวจนั้นไปปลุกปั่น ว่า ไม่ต้องไปตัดผมตามระเบียบมันใช้ได้หรือไม่อย่างไรมีวินัยหรือเปล่าคุณต้องไปดูด้วย..” ซึ่งเป็นความเท็จทั้งสิ้น ซึ่งความจริงคือโจทก์ไม่เคยปลุกปั่นให้นักเรียนที่เข้าอบรมผู้กำกับหรือหลักสูตรใดๆ ที่เข้ามารับการอบรมและอยู่ในความปกครองโจทก์แต่อย่างใด

การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายต่อชื่อเสียงถูกเพื่อนข้าราชการตำรวจและประชาชน รวมทั้งหน่วยงานราชการอื่นๆ สื่อมวลชนอีกทั้งเพื่อนนักเรียนนักศึกษา วปอ. รุ่นที่ 62 ที่โจทก์ร่วมศึกษาอยู่ดูหมิ่นเกลียดชัง เสื่อมความนิยมโจทก์เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงภาพลักษณ์ของการเป็นข้าราชการ ถูกมองว่าเป็นคนไม่มีวินัยกระด้างกระเดื่องทำผิดระเบียบอันเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นด้วยการโฆษณาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326, 328 ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา

โดยศาลรับคำฟ้องไว้เป็นหมายเลขคดี อ.94/2563 เเละไต่สวนมูลฟ้องว่าจะมีคำสั่งประทับรับฟ้องไว้หรือไม่ในวันที่ 30 มี.ค.เวลา 13.00 น.

พ.ต.อ.ไพรัตน์ กล่าวก่อนยื่นฟ้องคดีว่า 2 ปีที่ผ่านมา ตนถูกผู้บังคับบัญชากล่าวหาว่าไปขายบัตรคอนเสิร์ต ทั้งที่เหตุการณ์ไม่เป็นความจริงทั้งสิ้น มีนายตำรวจระดับผู้บังคับบัญชาโทร.มาข่มขู่ว่า จะเอาเรื่องกับตนทุกเรื่อง ในด้านวินัยโดยกล่าวหาว่าตนไม่สุจริต ในวันพรุ่งนี้ตนจะนำคลิปเสียงที่มีการข่มขู่ออกมาแฉให้สื่อมวลชนที่สนใจได้รับทราบขอให้ติดต่อตนมา ที่จะเปิดเพื่อให้ประชาชนได้ตัดสินใจว่าใครกันแน่ที่เป็นผู้ถูกกระทำ ที่ตนออกมาฟ้องไม่ใช่ว่าอยากจะหาเรื่องกับผู้ใหญ่ เเต่ตลอดมาตนถูกถูกกลั่นเเกล้งมานับ 10 เรื่อง เพิ่งจะมาฟ้องได้เพียงแค่ 2 เรื่อง จึงเป็นเรื่องที่ต้องออกมาปกป้องตนเองในฐานะเป็นผู้เสียหายเเละผู้ถูกกระทำ ที่พูดวันนี้ไม่ได้ออกมาให้สัมภาษณ์สื่อในฐานะรอง ผบก.เรื่องนี้จึงไม่ใช่เรื่องที่ตนออกมาฝ่าฝืนระเบียบ ตร.ในเรื่องของการให้ข่าวเพราะเป็นการกระทำในนามของส่วนตัว

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก ตร. กล่าวถึงกรณี พ.ต.อ.ไพรัตน์ ไพพรรณรัตน์ รองผู้บังคับการอำนวยการ กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 อดีตรอง ผบก.ภ.จว.เพชรบุรี ยื่นฟ้องตนเองในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326, 328 เเละ 332 ว่า ตนเองก็เพิ่งทราบเรื่องดังกล่าวจากสื่อมวลชน เป็นเรื่องปกติและเป็นสิทธิของเขาที่สามารถทำได้ คงไม่ได้ไปตอบโต้อะไร ยืนยันตนเองไม่มีความกังวลกับเรื่องดังกล่าว ก็ยังคงทำหน้าที่ปกติ


กำลังโหลดความคิดเห็น