MGR Online - ศาลยกฟ้อง “สันธนะ” กับพวก ร่วมกันกรรโชกทรัพย์ผู้ขายในตลาดใหม่ดอนเมือง ระบุพยานหลักฐานไม่มีน้ำหนักพอ
เมื่อเวลา 10.00 น. วันนี้ (17 ธ.ค.) ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำ อ.1951/2561 ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 8 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสันธนะ หรือ พ.ต.ท.สันธนะ ประยูรรัตน์ (ถูกถอดยศเมื่อวันที่ 24 ต.ค. 2561) อายุ 60 ปี อดีตรอง ผกก.สันติบาล 2 ในฐานะประธานที่ปรึกษาบริษัท พัฒนาตลาดใหม่ดอนเมือง จำกัด, นายชนะโชติ หรือตั๋ม สุขสุคนธ์ อายุ 41 ปี, นายวรรณชัย หรือแก้ว ใจเรือง อายุ 37 ปี, นายวันเพ็ญ ผิวดำดี อายุ 52 ปี, นายสิริชัย หรือชัย เหล่ากุลประสิทธิ์ อายุ 66 ปี, นายประนอม หรือนอม แก้วสวัสดิ์ อายุ 60 ปี, นายกฤษณะ หรือตั้ม หลำรอด อายุ 42 ปี, นายคเณศ หรือต้น เปรมครุฑ อายุ 43 ปี, นายอดิศักดิ์ หรือโต้ง จันทร์ศรี อายุ 40 ปี, นายอนุชา หรือทอม วรเดช อายุ 54 ปี และนายอนุ หรือตุ๋ย สุขสุคนธ์ อายุ 42 ปี ซึ่งเป็นพนักงานตลาดลูกน้องของ พ.ต.ท.สันธนะ เป็นจำเลยที่ 1-11 ในความฐานความผิดร่วมกันกรรโชกทรัพย์ผู้ค้าในตลาดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.337 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 10,000 บาท และความผิดฐานซ่องโจร ตาม ม.210 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
โดยคดีนี้ อัยการยื่นฟ้องจำเลยทั้ง 11 คน เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. 2561
พฤติการณ์คดีของจำเลยสืบเนื่องจากระหว่างเดือน ม.ค. 2559 - เม.ย. 2559 จำเลยทั้ง 11 คนได้สมคบกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปจับกลุ่มปรึกษากันและตกลงกันเพื่อจะไปร่วมกันกรรโชกทรัพย์ผู้เสียหาย 19 รายซึ่งเป็นผู้ค้าในตลาดใหม่ดอนเมือง โดยพวกของจำเลยแบ่งออกเป็นกลุ่มประมาณ 3-5 คน ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปที่ร้านค้า มีการเรียกเก็บเงินรายเดือนจากผู้ค้าขายที่เช่าพื้นที่ในตลาดใหม่ดอนเมือง ประมาณร้านละ 1,000-3,000 บาทต่อเดือน ร่วมทั้งค่าจอดรถยนต์อีกเดือนละ 700 บาท ส่วนจักรยานยนต์ 300 บาท ซึ่งจะเรียกเก็บเงินดังกล่าวของทุกเดือนในปลายเดือน โดยพวกจำเลยมีพฤติกรรมลักษณะข่มขู่คุกคามผู้ค้าขายจนทำให้เกิดความหวาดกลัว หากไม่ยอมจ่ายเงินและอาจทำให้เกิดความเดือดร้อนในการค้าขาย แต่ละรายหลายคราวหลายกรรมต่างกัน รวมจำเลยทั้ง 11 รวมกันกรรโชกทรัพย์รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 750,000 บาท
ในวันนี้จำเลยทั้ง 11 คนซึ่งได้รับการประกันตัวคนละ 300,000 บาท เดินทางมาฟังคำพิพากษาอย่างพร้อมเพียง
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยนำสืบหักล้างกันแล้ว คดีนี้มีผู้เสียหาย 16 ใน 19 ราย ขึ้นเบิกความศาล
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานตามที่คู่ความทั้งสองฝ่ายนำสืบแล้วเห็นว่าผู้เสียหายที่ 1 ผู้เสียหายที่ 2 และผู้เสียหายที่ 3 ต่างเบิกความยืนยันถึงการเรียกเก็บเงินของกลุ่มจำเลย ตามที่มีการเรียกเก็บมีระยะเวลาต่อเนื่องนานนับปี และผู้เสียหายทั้งสามล้วนแต่เคยจ่ายให้ผู้ที่มาเรียกเก็บซึ่งอยู่ในทีมชุดบริหารชุดก่อน ทุกครั้งที่มีการเรียกเก็บกลุ่มของจำเลยไม่ได้พกพาอาวุธไม่เคยพูดจาใดๆ อันเป็นการข่มขู่เพื่อให้จ่ายเงิน ภายหลังจ่ายเงินตามที่มีการเรียกเก็บแล้ว ยังมีการจัดทำเอกสารเพื่อใช้เป็นหลักฐานเรียกเก็บเงินโดยแท้จริง ซึ่งเอกสารหลักฐานการรับเงินระบุจำนวนเงินถูกต้องตามที่ผู้เสียหายทั้งสามเบิกความ โดยแต่ละฉบับระบุเล่มและเลขที่แตกต่างกันไป สอดคล้องกับคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 9 ผู้เสียหายที่ 12 ผู้เสียหายที่ 13 และพยานปากอื่นที่มีการจ่ายเงินตามที่ถูกเรียกเก็บ ต่างเต็มใจจ่ายเงินตามที่มีการเรียกเก็บ
โดยนายสุชาติ โชว์วิวัฒนา ประธานผู้บริหารโครงการตลาดใหม่ดอนเมือง เบิกความยืนยันว่า แต่งตั้งให้จำเลยที่ 1 เป็นที่ปรึกษาของตน และมอบหมายให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 11 ซึ่งเป็นพนักงานของตนไปเก็บเงินดังกล่าวด้วยตนเองเพื่อนำมาเป็นค่าใช้จ่ายว่าจ้างพนักงานรักษาความปลอดภัย และพนักงานรักษาความสะอาด นายสุชาติเป็นผู้บริหารของโครงการตลาดใหม่ดอนเมือง ย่อมมีส่วนรับผิดชอบโดยตรงในการดูแลกิจการค้าขายการเก็บเงิน จึงอยู่ในความรู้เห็นของนายสุชาติ สอดคล้องกับที่ผู้เสียหายกับผู้ประกอบการร้านค้าเบิกความรับว่าต่างได้รับประโยชน์ตอบแทนให้การค้าขายเป็นไปโดยราบรื่น ไม่ได้ถูกข่มขู่หรือบังคับจากกลุ่มของจําเลย การเรียกเก็บเงินของกลุ่มจำเลยจึงเป็นรูปแบบการประกอบธุรกิจที่ต่างคนต่างถือเอาประโยชน์พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ผู้เสียหายในคดีนี้และผู้ประกอบการร้านค้าอีกหลายปากต่างเบิกความว่าก่อนเกิดเหตุ เจ้าพนักงานตำรวจเข้าตรวจค้นภายในโครงการตลาดใหม่ดอนเมือง โดยไม่ปรากฏมีการแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีแก่กลุ่มของจำเลยเรื่องการกรรโชกทรัพย์มาตั้งแต่ต้น แต่เพิ่งมีการร้องทุกข์ดำเนินคดีจำเลยที่ 1-11 ภายหลังจากการเข้าตรวจค้นของตำรวจเกี่ยวกับการขายสินค้าที่อาจจะไม่ได้มาตรฐานหรือผิดกฎหมายหรือไม่ หากไม่มีการตรวจค้นดังกล่าวคงไม่มีการร้องทุกข์ดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งหมด จึงเป็นการผิดวิสัยบุคคลทั่วไปที่ไม่ได้ร้องทุกข์ตั้งแต่ต้น แต่ยังคงมีการจ่ายเงินนานนับปี ทั้งที่ถูกกรรโชกทรัพย์ด้วยการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมาย และไม่ได้ดำเนินคดีแก่ผู้กระทำความผิดให้ได้รับโทษ มิหนำซ้ำยังต้องสูญเสียเงินในแต่ละเดือนตลอดไปอีกด้วย พยานหลักฐานโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักให้พอฟังลงโทษจำเลยทั้ง 11 คนได้ พิพากษายกฟ้อง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าภายหลังนายสันธนะและพวกฟังคำพิพากษาแล้ว นายสันธนะจำเลยที่ 1 ได้ยกมือไหว้ศาล
ทั้งนี้ นายสันธนะให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวก่อนเข้าฟังการพิจารณาคดีว่า วันนี้จำเลยมาครบทุกคน ตนติดตามพิจารณาคดีจึงมีความมั่นใจ แต่ต้องเผื่อใจไว้ระดับหนึ่ง เนื่องจากกระบวนการพิจารณามีความพยายามจะแทรกแซงเข้ามาพอสมควร อีกทั้งคำเบิกความของตนมีการกล่าวอ้างถึงผู้มีอำนาจในรัฐบาลอีกหลายคนซึ่งเกี่ยวข้องเชื่อมโยงในคดีที่ยัดเยียดข้อหาให้ตน อย่างไรก็ตาม ตนเองก็เคยเป็นตำรวจมาก่อน เรื่องกฎหมายกระบวนการพิจารณาก็นั่งฟังการเบิกความพยานปากสำคัญมาตลอด การสืบพยานหลายสิบปากของโจทก์ที่มีแต่ตำรวจซึ่งเกี่ยวข้องในคดีมาเบิกความและก็กล่าวหา แต่พยานปากอื่นๆ ไม่เคยมีใครพูดว่าติดใจหรือมากล่าวหาในคดีกระทั่งถึงวันนี้เลย
เมื่อถามว่าหากมีการยกฟ้องในวันนี้จะมีการฟ้องกลับหรือไม่ นายสันธนะเปิดเผยว่า ตนพูดแต่แรกเหมือนประชาชนทั่วไปในสังคมว่า หากไม่ได้กระทำผิดแล้วมีวันหนึ่งเจ้าหน้าที่รัฐมากล่าวหา สังคมจะให้ตนหยุดนิ่งหรือ ตนต้องต่อสู้ แต่ไม่ได้ต่อสู้เพื่อตนเอง สู้เพื่อให้ประชาชนเห็นว่าหากเกิดความอยุติธรรมเกิดขึ้นในสังคมโดยเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ถ้านิ่งเฉยยอมรับ หรืออย่างที่พูดกันว่าอยู่เป็น ตนเตรียมไว้แล้วว่าหลังจากอ่านคำพิพากษาเสร็จ ตนจะขยายผลกับผู้เกี่ยวข้อง 3 ระดับ คือ ผู้ใช้อำนาจรัฐที่สั่งการ ต่อมาเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ คอยกำกับการสนองคำสั่งผู้มีอำนาจรัฐ สุดท้ายคือเจ้าหน้าที่รัฐฝ่ายปฏิบัติการที่รู้เป็นอย่างดีว่าเป็นคำสั่งโดยมิชอบแต่ยังใช้อำนาจหน้าที่ที่สังคมประชาชนมอบความไว้วางใจ นำมากลั่นแกล้งประชาชนคนทั่วไป แต่พวกคุณมาทำผิดคน มาทำกับตน ซึ่งตนจะต่อสู้ จึงเป็นที่แน่นอนว่าจะฟ้องกลับ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ศาลแขวงดอนเมืองก็พิพากษายกฟ้องนายสันธนะ ในคดีที่พนักงานอัยการคดีศาลแขวง 9 (ดอนเมือง) เป็นโจทก์ยื่นฟ้องในความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทำตามหน้าที่ หรือเพราะได้กระทำการตามหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 136 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำปรับ และผู้ใดต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานหรือผู้ซึ่งต้องช่วยเจ้าพนักงานตามกฎหมายในการปฏิบัติตามหน้าที่ฯ ตามมาตรา 138 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำปรับ กรณีกล่าวหานายสันธนะว่าเมื่อวันที่ 3 พ.ค. 2561 เวลากลางวัน ได้เดินเข้าไปในเส้นแถบกั้นพื้นที่ของศูนย์ที่เจ้าหน้าตำรวจชุดปฏิบัติการตรวจค้นการกระทำผิดเกี่ยวกับเครื่องสำอางและอาหารเสริม แล้วแสดงอากัปกิริยา-วาจาลักษณะว่ามีอำนาจ ข่มขู่เจ้าหน้าที่เพื่อไม่ให้สามารถปฏิบัติงานได้ โดยศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้วปรากฏว่าจำเลยไม่ได้กระทำการขัดขวางเจ้าพนักงานระหว่างปฏิบัติงาน โดยขณะเกิดเหตุจำเลยเพียงแสดงกิริยาใช้เสียงดังเท่านั้น