MGR Online - เลื่อนอ่านฎีกา “เบญจา” อดีตรองอธิบดีสรรพากร กับพวก ช่วย “โอ๊ค-เอม” ไม่ยื่นคำนวณภาษีซื้อหุ้นชินฯ ทำรัฐเสียหายกว่า 7 พันล้าน เนื่องจากจำเลยที่ 5 คนใกล้ชิดเลขาฯ “หญิงอ้อ” ป่วยเข้า รพ.พระราม 9 นัดอีกครั้ง 26 ธ.ค.นี้
วันนี้ (26 พ.ย.) ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เมื่อเวลา 10.00 น. ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาิคดีหมายเลขดำที่ อท.43/2558 ที่คณะกรรมการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นางเบญจา หลุยเจริญ อดีต รมช.คลัง สมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และอดีตรองอธิบดีกรมสรรพากร, น.ส.จำรัส แหยมสร้อยทอง อดีต ผอ.สำนักกฎหมาย, น.ส.โมรีรัตน์ บุญญาศิริ อดีต ผอ.สำนักกฎหมาย, นายกริช วิปุลานุสาสน์ ผอ.สำนักกฎหมาย กรมสรรพากร และ น.ส.ปราณี เวชพฤกษ์พิทักษ์ คนใกล้ชิดเลขานุการส่วนตัวของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภริยา นายทักษิณ ชินวัตร เป็นจำเลยที่ 1-5 ต่อแผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐในศาลอาญา ในความผิดฐานร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญา (ป.อ.) มาตรา 157
โดย ป.ป.ช.เป็นโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งห้าต่อแผนกคดีทุจริตฯ ในศาลอาญา เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. 2558 ระบุพฤติการณ์สรุปว่า จำเลยที่ 1-4 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานของกรมสรรพากร ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อไม่ให้นายพานทองแท้ บุตรชายคนโต และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร บุตรสาวคนที่ 2 ของนายทักษิณ ต้องเสียภาษีอากรหรือเสียภาษีน้อยกว่าที่จะต้องเสีย และได้รับประโยชน์ที่มิควร โดยชอบด้วยกฎหมาย จากการที่นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ซื้อหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด เมื่อปี 2549 คนละ 164,600,000 หุ้น ในราคาพาร์หุ้นละ 1 บาท ขณะที่ราคาตลาดหุ้นละ 49.25 บาท ถือได้ว่านายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา เป็นผู้ได้รับเงินพึงประเมินตามประมวลรัษฎากร มาตรา 39 และมีหน้าที่ต้องเสียภาษีของส่วนต่างราคาหุ้น คนละ 7,941,950,000 บาท ซึ่งการกระทำนั้นทำให้กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง และราชการเสียหาย จำเลยทั้งหมดสู้คดี ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา
ขณะที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 28 ก.ค. 2559 พิพากษาว่า นางเบญจา, น.ส.จำรัส, น.ส.โมรีรัตน์ และ นายกริช จำเลยที่ 1-4 มีความผิดฐานปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่มิชอบฯ ตาม ป.อ.มาตรา 157 และ 83 ให้จำคุกคนละ 3 ปี ส่วน น.ส.ปราณี คนใกล้ชิดเลขานุการส่วนตัวของคุณหญิงพจมาน จำเลยที่ 5 มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบฯ ตาม ป.อ.มาตรา 157 และ 86 มีโทษ 2 ใน 3 ให้จำคุกเป็นเวลา 2 ปี และเมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีของจำเลยทั้งหมดแล้ว ไม่มีเหตุให้รอการลงโทษ
ต่อมาจำเลยที่ 1-5 ยื่นอุทธรณ์คดี และได้ประกันตัวในชั้นอุทธรณ์ซึ่งศาลตีราคาประกันคนละ 300,000 บาท โดยไม่มีการกำหนดเงื่อนไขใดๆ ขณะที่คดีอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ เมื่อวันที่ 19 ต.ค. 2560 ซึ่งเห็นว่าที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษนั้นชอบแล้ว โดยสภาพความผิดของจำเลยทั้งห้าเป็นการกระทำที่ไม่ได้คำนึงถึงความเสียหายและความน่าเชื่อถือในการจัดเก็บภาษีอากรของประเทศชาติ พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง ส่วนที่จำเลยที่ 5 อ้างว่า เรื่องนี้ในที่สุดแล้วก็ไม่ได้เกิดความเสียหายแก่รัฐโดยศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้มีคำพิพากษายึดทรัพย์ที่เกี่ยวข้องไปหมดแล้ว และศาลภาษีอากรกลางได้มีคำพิพากษาเพิกถอนการประเมินภาษีของกรมสรรพากรไปแล้วนั้นจะนำมาเป็นข้ออ้างเพื่อให้ศาลรอการลงโทษไม่ได้
ที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลยทั้งห้าที่ไม่รอการลงโทษนั้น ศาลอุทธรณ์ฯ เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยทั้งห้าฟังไม่ขึ้น จึงพิพากษายืน จำคุกจำเลยที่ 1-4 คนละ 3 ปี และจำคุกจำเลยที่ 5 เป็นเวลา 2 ปีโดยไม่รอลงอาญา
ต่อมาจำเลยที่ 1-5 ยื่นฎีกา และได้ประกันตัวไปด้วยหลักทรัพย์คนละ 500,000 บาท โดยศาลฎีกากำหนดเงื่อนไขห้ามจำเลยทั้งหมดเดินทางออกนอกราชอาณาจักรเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล และยังให้จำเลยทั้งหมดนำหนังสือเดินทางมามอบต่อศาลอาญาคดีทุจริตฯ โดยให้ศาลอาญาคดีทุจริตฯ แจ้งไปยังสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ให้ทราบด้วย
โดยวันนี้ จำเลยที่ 1-4 และนายประกันเดินทางมาศาลซึ่งมีคนในครอบครัวและคนใกล้ชิดจำนวนมากมาให้กำลังใจ ส่วน น.ส.ปราณี คนใกล้ชิดเลขานุการส่วนตัวของคุณหญิงพจมาน จำเลยที่ 5 ไม่ได้เดินทางมาศาล คงมีเพียงนายประกันและทนายความ มาศาล พร้อมแถลง ขอศาลเลื่อนนัดอ่านคำพิพากษาฎีกาวันนี้ออกไปก่อน เนื่องจากจำเลยที่ 5 มีอาการป่วยกะทันหัน เวียนศีรษะลักษณะอาการบ้านหมุน อาเจียนรุนแรง ซึ่งขณะนี้เข้ารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลพระรามเก้า โดยทนายความได้นำใบรับรองแพทย์มาแสดงต่อศาลระบุต้องเข้ารักษาอาการตั้งแต่วันที่ 25-27 พ.ย.นี้
ศาลสอบถามทนายความ ป.ป.ช.ฝ่ายโจทก์แล้วไม่คัดค้านคำขอเลื่อน ศาลพิเคราะห์เหตุจำเป็นและใบรับรองแพทย์ที่ยื่นแล้วน่าเชื่อว่าจำเลยที่ 5 มีอาการป่วยจริง จึงเลื่อนนัดฟังคำพิพากษาฎีกาวันนี้ออกไปก่อนโดยนัดฟังคำพิพากษาฎีกาอีกครั้งในวันที่ 26 ธ.ค.นี้ เวลา 10.00 น.