MGR Online - ตำรวจท่องเที่ยวแถลงจับกุมหนุ่มไนจีเรีย ผู้ต้องหาเครือข่ายโรแมนซ์สแกม ตุ๋นเหยื่อผ่านเฟซบุ๊ก มูลค่าความเสียหายกว่า 3 ล้านบาท ประสาน สตม.ผลักดันออกนอกประเทศ พฤติกรรมอ้างตัวเป็นครูสอนภาษาบังหน้า
วันนี้ (29 มิ.ย.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว แถลงข่าวจับกุม MR. MARTINS JUNIOR EJIKE AJEJO (นายมาร์ตินส์ จูเนียร์ อีจิเค อาเจโจ) อายุ 39 ปี ชาวไนจีเรีย ผู้ต้องหาเครือข่ายโรแมนซ์สแกม ตามหมายจับในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงผู้อื่นโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น โดยการหลอกลวงผู้เสียหายผ่านเฟซบุ๊กด้วยการสร้างเฟซบุ๊กปลอมขึ้นมา ซึ่งใช้รูปโปรไฟล์คนหน้าตาดีหลอกคุยกับผู้เสียหาย แล้วอ้างว่ามีสินค้าที่จะส่งมาที่ประเทศไทยแต่ติดขั้นตอนศุลกากร หรือติดที่บริษัทขนส่ง ให้ผู้เสียหายโอนเงินมาช่วยเหลือ หลังจากผู้เสียหายโอนเงินให้แล้วก็จะปิดเฟซบุ๊กหนีไป โดยมีผู้เสียหายที่ถูกหลอกลวงจำนวนมาก
พล.ต.ต.สุรเชษฐ์กล่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 21 มิ.ย.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สืบสวนจนสามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาที่ทำหน้าที่กดเงิน คือ น.ส.ประพิณมาศ นาสุทธิ อายุ 30 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับ ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงผู้อื่นโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น และออกหมายจับ นายไกอัส อีเรียไมโต (MR. GAIUS ERIAMIATOE) อายุ 36 ปี สัญชาติไนจีเรีย สามีของ น.ส.ประพิณมาศ ที่ทำหน้าที่ร่วมกันกดเงิน ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงผู้อื่นโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น หลังจากนั้นได้สืบสวนขยายผลจนทราบว่ามีผู้เสียหายโอนเงินเข้ามาหลายรายมูลค่าความเสียหายกว่า 3 ล้านบาท เบื้องต้นพบผู้เสียหายที่แจ้งความร้องทุกข์ไว้แล้วที่ สน.ดอนเมือง และ สภ.ป่าตอง จ.ภูเก็ต โดยหลังจาก น.ส.ประพิณมาศ และนายไกอัส
กดเงินที่ผู้เสียหายโอนเข้ามาแล้วจะนำเงินส่วนแบ่งที่ได้ฝากเข้าบัญชีของนายมาร์ตินส์
ต่อมาเมื่อวันที่ 28 มิ.ย. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมตัวนายมาร์ตินส์ จากการตรวจสอบพบว่าเคยถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยวจับกุมตัวมาแล้วเมื่อวันที่ 11 เม.ย. 2561 ในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงผู้อื่นโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น ส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองเชียงใหม่ ดำเนินคดีตามกฎหมาย แต่หลังจากนั้นผู้เสียหายได้ถอนคำร้องทุกข์เนื่องจากได้รับการชดใช้ค่าเสียหายจึงถูกปล่อยตัวออกมา และยังไม่สำนึกในการกระทำความผิด ได้ก่อเหตุในลักษณะเดิมซ้ำอีก
พล.ต.ต.สุรเชษฐ์กล่าวอีกว่า ล่าสุดได้ประสานสำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ให้ดำเนินการต่อผู้ที่กระทำผิดในลักษณะนี้โดยให้ผลักดันออกนอกประเทศ และขึ้นบัญชีเป็นบุคคลห้ามเข้าประเทศโดยถาวร นอกจากนี้ ได้มีการหารือกับผู้บริหารโรงเรียนนานาชาติและสถาบันสอนภาษา ในการขอความร่วมมือตรวจสอบ เนื่องจากกลุ่มบุคคลดังกล่าวเข้ามาในประเทศในลักษณะเป็นครูสอนภาษา และได้กำชับหากมีส่วนรู้เห็นหรือมีการออกหนังสือรับรองโดยไม่ได้ทำงานจริง สถานศึกษานั้นจะถูกดำเนินคดีด้วย เพื่อเป็นการป้องการเข้ามาก่ออาชญากรรมดังงกล่าว
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ศปอส.ตร.จะเร่งสืบสวนจับกุมผู้ต้องหาที่ยังหลบหนีอยู่เพื่อนำตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายโดยเร็วที่สุด และร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ธนาคาร และเจ้าหน้าที่ ปปง.เพื่อดำเนินการคืนทรัพย์สินให้แก่ผู้เสียหาย และจะดำเนินการขยายผลจับกุมเครือข่ายโรแมนสแกมให้หมดไปจากประเทศไทย นอกจากนี้หากมีผู้เสียหายหรือถูกหลอกลวง จากกลุ่มคนร้ายที่มีพฤติการณ์ในลักษณะดังกล่าว สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่สายด่วนตำรวจท่องเที่ยว 1155 หรือสายด่วน ปปง. 1710